วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ทำความรู้จักกับ .NET Framework 3.0

.NET Framework 3.0 ได้พัฒนาเสร็จในช่วงปลายปี ค.ส. 2006 สามารถใช้ติดตั้งบนวินโดว์ส XP วินโดว์ส 2003 ได้ แต่ถ้าต้องการความสามารถเต็มที่ โดยเฉพาะความสามารถทางด้านการแสดงผลที่ชื่อ Windows Presentation Foundation (WPF) จะต้องติดตั้งบนวินโดว์สวิสต้า ซึ่งได้ออกมาในช่วงปลายเดือนมกราคม ปี ค.ส. 2007

.NET Framework 3.0 ไม่ได้สร้างอะไรขึ้นมาใหม่ตั้งแต่เริ่มต้น แต่มันเกิดจากการพัฒนาต่อยอดจาก .NET Framework 2.0 ที่มีอยู่เดิมและเพิ่มส่วนประกอบสำคัญอีก 4 ส่วนดังภาพที่ 5-29

15-29.jpg

ภาพที่ 15-29 .NET Framework 3.0

จากภาพที่ 15-29 .NET Frame 3.0 จะประกอบด้วยส่วนสำคัญ 4 ส่วนนอกจาก .NET Framework 2.0 ดังนี้

1. CardSpace เป็นสิ่งที่ใช้เก็บการ์ดที่แสดงตัวตนของเราคล้ายกับบัตรเครดิต ซึ่งเราสามารถมีได้หลายๆ ใบ เราสามารถใช้การ์ดในการทำธุรกรรมกับร้านค้าต่างๆ บนอินเตอร์เน็ตได้โดยผ่าน WCF ข้อมูล CardSpace นี้จะถูกเก็บอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ฝั่งไคลเอนต์เท่านั้น ซึ่งต่างกับ Microsoft Passport ที่เก็บอยู่ที่เซิร์ฟเวอร์ของเราเอง ตัวอย่างของ CardSpace ในวินโดว์สวิสต้าดังภาพที่ 15-30

15-30.jpg

ภาพที่ 15-30 CardSpace ที่ใช้เก็บการ์ดที่แสดงตัวตนของผู้ใช้ฝั่งไคลเอนต์ในวินโดว์สวิสต้า

2. Windows Presentation Foundation (WPF) การสร้างภาพที่แสดงบนวินโดว์สวิสต้าทั้งหมดจะใช้เทคโนโลยี Vector Graphic ซึ่งทำให้ความละเอียดของภาพไม่เสียหากมีการซูม นอกจากนี้การแสดงผลต่างๆ จะเป็นสามมิติ ทำให้เราสามารถหมุน ย่อ หรือขยายโปรแกรม หรือแอพพลิเคชั่นได้ เนื่องการแสดงผลแบบสามมิติ และเทคโนโลยี Vector Graphic ทำให้คอมพิวเตอร์ที่ติดตั้งวินโดว์สวิสต้าต้องการความสามารถของการ์ดแสดงผล สามมิติที่ค่อนข้างสูง รวมถึงสเปคของเครื่องที่ควรมีหน่วยความจำอย่างน้อย 1 กิกะไบต์ เราสามารถสร้างคอนโทรลที่ใช้เทคโนโลยี WPF ด้วยภาษา XAML โดยใช้โปรแกรม Blend ในการช่วยออกแบบหน้าจอ และใช้ Visual Studio 2005 ในการเขียนโปรแกรม

3. Windows Communication Foundation (WCF) เป็น โครงสร้างที่ถูกออกแบบมาอย่างดีสำหรับการสร้างแอพพลิเคชั่นที่เป็นแบบ Service-Oriented สำหรับท่านที่ไม่คุ้นกับคำนี้ ให้ลองนึกย้อนกลับไปที่ Object-Oriented ที่ใช้อ็อปเจ็กต์หลายๆ ตัวมาทำงานร่วมกัน แต่สำหรับ Service-Oriented จะไม่ได้มองลึกไปถึงระดับอ็อปเจ็กต์ แต่จะมองที่ระดับการให้บริการหลายๆ บริการที่ทำงานร่วมกัน โดยที่หนึ่งบริการนั้นอาจจะมีอ็อปเจ็กต์หลายๆ ตัวทำงานร่วมกันอยู่ภายใน

4. Windows Workflow Foundation (WF) เป็นเครื่องมือที่สร้างที่ใช้สร้างการไหลของงาน (Workflow) ที่เลียนแบบการทำงานจริงในองค์กร ซึ่งมีหลายแบบให้เลือก เช่น การไหลของงานแบบต่อเนื่อง (Sequential) จะต้องมีขั้นตอนการไหลที่เรียงต่อเนื่องกันจากต้นจนจบ หรือการไหลของงานแบบสถานะ (State) จะไม่มีขั้นตอนการทำงานที่แน่นอน ไม่มีจุดเริ่มต้น หรือจุดสิ้นสุด และสถานะของสิ่งต่างๆ ในระบบสามารถเปลี่ยนแปลงได้เมื่อมีข้อความมากระตุ้น ใน Visual Studio 2005 เราสามารถสร้างโปรเจค WF ที่มีการไหลของงานทั้งสองชนิดได้ ซึ่งหลังสร้างโปรเจคแล้ว เราจะสามารถสร้างหน้าจอออกแบบการไหลของเราเองได้ พร้อมกับมีคอนโทรลในกลุ่ม Windows Workflow อีก 28 ตัวให้เลือกใช้

ในขณะนี้เราสามารถใช้ Visual Studio 2005 เพื่อสร้าง WPF WCF และ WF ได้แล้ว แต่ต้องทำการลง .NET Framework 3.0 และ Visual Studio 2005 Extension ซึ่งมีสองตัวคือตัวแรก WCF & WPF และตัวที่สอง WF สามารถดาวน์โหลดได้ที่ http://msdn2.microsoft.com/en-us/downloads/default.aspx สำหรับตัวแรก WCF & WPF นั้นยังเป็นเวอร์ชั่น Community Technology Preview (CTP) อยู่ในขณะที่ผู้เขียนกำลังเขียนอยู่ ซึ่งจะมีบั๊กอยู่บ้าง

By:นางสาวธารทิพย์ โลหณุต (แพร)

วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554

จับตาปี 2011 กับ 10 เทรนด์เทคโนโลยีในภาคธุรกิจ

10 เทรนด์เทคโนโลยีด้านโทรศัพท์มือถือสำหรับภาคธุรกิจ ซึ่งเป็นการคาดการณ์จากสถาบันวิจัยชื่อดัง Gartner Research อย่างไรก็ตามแต่ละหัวข้อเป็นบทวิเคราะห์อ้างอิงจากตลาดโลก บางอย่างอาจยังไกลตัวบ้านเราก็เป็นได้ แต่เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ที่กำลังสนใจถึงทิศทางกระแสโลก ที่กำลังจะก้าวไป


1.การเชื่อมต่อเทคโนโลยีไร้สาย Bluetooth 4.0

สำหรับเทคโนโลยี Bluetooth ที่มีมาหลายปีแล้วนั้น ได้มีการพัฒนากันมาอย่างต่อเนื่อง ได้มีการเปิดตัวทั้ง Bluetooth 3.0 และ 4.0 มาสักพักแล้ว และคาดการณ์ว่าจะแพร่หลายในภาคธุรกิจในปี 2011 นี้ โดย Bluetooth 3.0 จะมีคุณสมบัติที่เพิ่มความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูล และใช้มาตรฐาน IEEE 802.11 ในขณะที่การมาของ Bluetooth 4.0 จะเน้นไปในเรื่องของการใช้พลังงานที่น้อยลง (Low Energy Mode) เพิ่มระยะทางในการเชื่อมต่อสูงขึ้น และทำงานร่วมกับ ระบบ Sensor อาทิเช่น PC จะทำการ lock เครื่องอัตโนมัติเมื่อผู้ใช้เดินออกห่างจากเครื่อง และจะมีอุปกรณ์ทางการแพทย์หลายชิ้นที่จะนำมาประยุกต์ใช้ อย่าง Stethoscope (หูฟังคุณหมอ) ที่ใช้ Bluetooth ในการส่งข้อมูลเสียงแบบ Real time ไปยังเครื่อง PC เพื่อนำไปใช้วิเคราะห์ต่อไป

2. Mobile Web
ในปี 2011 มากกว่า 85% ของเครื่องโทรศัพท์มือถือที่ขายทั่วโลกจะผนวกเอา Browser เข้าไปด้วย ในตลาดที่เติบโตอย่างประเทศในโลกตะวันตก และญี่ปุ่น กว่า 60% ของเครื่องโทรศัพท์มือถือที่ขายออกไปจะเป็นเครื่องสมาร์ทโฟนที่มีความสามารถ ในการเปิด HTML sites และมีหน้าจอที่มีความละเอียดสูง บริษัทต่างๆ จะหันมาสนใจ Mobile Web และ Web Adaptation tool เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้ากันมากขึ้น และรวมถึง Mobile application ที่ได้รับความนิยมมาสักระยะแล้ว

3.Mobile Widgets

Widget หรือ Web application ที่สามารถทำงานได้บนหน้าจอ home screen ของอุปกรณ์ได้เลย สามารถใช้งานได้สะดวก และบริษัทต่างๆ สามารถนำเสนอสินค้า ข้อมูล และข่าวสารได้ เป็นการเริ่มต้นที่ง่าย และไม่ซับซ้อน เพื่อจะดูความต้องการของ application ในแต่ละ platform จากตัวอย่างเป็น Verizon Wireless Widget ที่นำเสนอข้อมูลสภาพการจราจรในกรุงนิวยอร์กแบบ Real Time

อย่างไรก็ตามสำหรับบ้านเราสมาร์ทโฟนที่ได้รับความนิยม และมีผู้ใช้งานมากคือ iPhone อีกทั้งปัจจุบันการพัฒนา Branded application ก็ไม่ได้ยุ่งยาก ดังนั้นเทรนด์ดังกล่าวอาจเหมาะสมกับบริษัทที่สนใจพัฒนาบนระบบ Android เสียมากกว่า

4.เครื่องมือการพัฒนา application บนหลายๆ Platform

การที่มีหลาย Platform หลาย OS ทำให้นักพัฒนาและผู้ประกอบการอาจปวดหัวกับการพัฒนา application เพื่อรองรับหลายๆ Platform ถึงแม้เครื่องมือนั้นจะไม่ถึงกับ “write once, run anyware” คือการเขียนโปรแกรมครั้งเดียวแล้วใช้ได้กับทุก Platform ก็ตาม แต่ถ้ามีเครื่องมือที่พอช่วยในการลดค่าใช้จ่ายเรื่องการติดตั้ง application ได้ก็จะดีมาก อาทิเช่น เครื่องมืออย่าง Silverlight และ AIR รวมถึงเครื่องมือที่ช่วยในการพัฒนาอย่าง Qt, Appcelerator และ Java Micro Edition จะได้รับความสนใจในปี 2011

5.App Stores


จากความสำเร็จของ App Stores ของ Apple ที่เข้ามาจัดการในเรื่องของการ distribute application ไปยังเครื่อง iPhone รวมถึงการจัดการระบบการชำระเงิน และบริการหลังการขายด้านอื่นๆ ทำให้บริษัทต่างๆ หันมาเปิด App Stores ของตัวเองเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น Android Market, BlackBerry AppWorld , Nokia Ovi และอีกมากมาย Gartner ยังเชื่อว่าจะยังเห็น App Stores เข้ามาทำหน้าที่ และเพิ่มฟีเจอร์หลายๆ อย่างเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในกลยุทธ์ตอบสนองกลุ่มลูกค้าต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าต่างประเทศ

6.ว่าด้วยเรื่องของ Location-based กันอีกแล้ว


มีการคาดการณ์กันว่าสิ้นปี 2011 กว่า 75% ของอุปกรณ์ที่ขายในท้องตลาดจะผนวกเอา GPS เข้าไปด้วย ในขณะที่ Wi-Fi และ Cell site ของโทรศัพท์มือถือจะยังคงเป็นตัวช่วยระบุตำแหน่งในสถานที่ที่ GPS ไม่สามารถใช้ได้ การที่ได้รู้ตำแหน่งของผู้ใช้ นั่นคือการเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้า และก่อให้เกิด application ต่างๆ มากมาย อย่างไรก็ตามเรื่องสิทธิส่วนบุคคลยังเป็นเรื่องสำคัญ และควรให้ผู้ใช้อนุญาตก่อนการใช้งาน

7.Cellular Broadband โครงข่ายโทรศัพท์มือถือความเร็วสูง


จากการประกาศมาตรฐาน 4G โดย ITU ทำให้ผู้ให้บริการโทรคมนาคมหลายประเทศเปิดให้บริการโครงข่ายโทรศัพท์มือถือ ความเร็วสูงกันแล้ว ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากทั้งภาคธุรกิจ และผู้ใช้ทั่วไปที่โครงข่าย fixed line เข้าไม่ถึง การผนวกเอาโครงข่ายโทรศัพท์มือถือความเร็วสูง เป็นหนึ่งในฟีเจอร์มาตรฐานของเครื่องแล็ปทอปของบริษัทจะเห็นมากขึ้นในปี 2011 นี้ และจะมีอุปกรณ์ต่างๆ ตามมาอีกมากมายไม่ว่าจะเป็น e-reader หรือ media players เป็นต้น แหม..ช่างน่าอิจฉาต่างประเทศเสียจริงๆ

8.หน้อจอสัมผัส (Touch Screens)

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่จะชี้ให้เห็นว่าในปี 2011 กว่า 60% ของเครื่องโทรศัพท์มือถือที่จำหน่ายในยุโรปตะวันตก และอเมริกาเหนือจะเป็นหน้าจอ Touch Screens และจะมีความสามารถเพิ่มเติม อาทิเช่น haptics ที่ช่วยเพิ่มประสบการณ์ในการใช้งานให้ดีขึ้น

9.M2M (Machine to Machine)

คำนี้อาจยังไม่คุ้นหูใครหลายคน แต่แวดวงโทรคมนาคมนั้นถือว่ามีมานานแล้ว นั่นคือการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ เข้าด้วยกัน และสื่อสารกันผ่านทางโครงข่ายโทรศัพท์มือถือ ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น มิเตอร์น้ำ มิเตอร์ไฟฟ้า สามารถส่งรายงานผลมาที่ศูนย์ได้โดยอัตโนมัติไม่ต้องส่งคนออกไปให้เสียเวลา เพียงเพื่อจดข้อมูลดังกล่าว ถึงแม้อัตราการเติบโตที่ผ่านมาเพียงแค่ 30% ต่อไป แต่เนื่องด้วยส่วนประกอบในอุปกรณ์ด้านนี้มีราคาถูกลงอาจทำให้เห็นบริการดัง กล่าวแพร่หลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Smart Grid, เครื่องอ่านมิเตอร์, ระบบรักษาความปลอดภัย, ระบบขนส่ง, แม้กระทั่งตู้ขายน้ำ และ POS (Point of Sales)

10. ระบบรักษาความปลอดภัยเมื่อวันที่มีอุปกรณ์ที่หลากหลาย


ผู้บริหารอย่าง CIO ในองค์กรต่างๆ กำลังกังวลกับรูปแบบของอุปกรณ์ในปัจจุบันที่ออกมาหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นขบวน Tablets ทั้งหลาย ทั้ง iPad, Android Tablets และ e-reader ดังนั้นจึงเกิด Solution ที่เรียกว่า Device-Independent Security เน้นหนักไปที่บริการในรูปแบบ Cloud Service อาทิเช่น Virus Scanning จะไม่มีการลงโปรแกรมต่างๆ บนอุปกรณ์เหล่านั้นโดยตรง แต่เน้นการทำงานจากฝั่ง Server แทน ถึงแม้จะไม่สามารถการันตีได้ 100% แต่ก็พอที่จะช่วยลดปัญหาความเสี่ยงด้านความปลอดภัยไปได้พอสมควร




10 วิธีในการคิดต่างตามแบบแอปเปิล


จากความสำเร็จของบริษัทแอปเปิล ทำให้หลายฝ่ายสงสัยและต้องการทราบว่า เบื้องหลังความสำเร็จและแนวคิดในแบบแอปเปิลนั้นเป็นอย่างไร

วันนี้เรามี 10 วิธีในการคิดต่างตามแบบแอปเปิล ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญ ที่ทำให้แอปเปิลพัฒนามาจนถึงวันนี้

เป็นที่รู้กันว่า พนักงานของบริษัทแอปเปิลตั้งแต่เริ่มทำงานมาจนถึงปัจจุบัน พวกเขาถูกปลูกฝังด้วยคำว่า Think Different หรือคิดต่าง ซึ่งแม้ว่าคำๆนี้จะมีลักษณะที่ค่อนข้างเป็นนามธรรม และปฏิบัติตามได้ยาก แต่ดูเหมือนว่าพนักงานของแอปเปิลทุกคนจะเรียนรู้ และปฏิบัติตามได้อย่างไม่มีปัญหา ซึ่งที่ผ่านมา ก็เป็นข้อพิสูจน์ได้ว่า การคิดต่างในแบบแอปเปิลนั้น ได้ทำให้บริษัทก้าวมาไกลเพียงใด

สตีฟ โทบัก ที่ปรึกษา นักเขียน และผู้บริหารระดับอาวุโสของบริษัทเทคโนโลยีชื่อดังของสหรัฐฯ ที่คร่ำหวอดในวงการมานานกว่า 20 ปี ได้ทำการศึกษาบุคคลที่ร่วมงานกับแอปเปิล ที่เขาเปรียบเทียบว่า วัฒนธรรมแบบแอปเปิลเหมือนการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมของบริษัทในสหรัฐฯ เพราะแอปเปิลได้ฉีกทุกกฎที่ทุกคนเคยทำไว้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่น่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งโทบักได้ข้อสรุปออกมาเป็น 10 วิธีที่คิดต่างในแบบแอปเปิล ที่ทำให้บริษัทนี้ โดดเด่นกว่าบริษัทอื่นๆ และพลิกฟื้นจากบริษัทที่ใกล้ล้มละลาย มาเป็นบริษัทที่มีมูลค่าทางการตลาดสูงเป็นอันดับสองของโลก ดังนี้

1. เสริมสร้างให้พนักงานคิดต่าง พนักงานคนหนึ่งของแอปเปิลกล่าวว่า สตีฟ จ็อบส์มักจะพูดเสมอว่าเราต้องทำสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่น และเขาเชื่อว่าพวกเราทำได้

2. สิ่งที่สำคัญคือการให้คุณค่า อย่าใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อย พนักงานของแอปเปิลทุกคนเห็นว่าออฟฟิศเป็นสถานที่ที่สนุกที่จะทำงาน ดังนั้นพวกเขาจึงอยู่กันอย่างไร้กฎระเบียบ ใครจะทำอะไรก็ได้ แต่ว่างานต้องเสร็จเรียบร้อย ซึ่งโทบักเคยเข้าประชุมร่วมกับผู้บริหารของแอปเปิล ที่มาร่วมประชุมด้วยเท้าเปล่า ที่น่าแปลกก็คือไม่มีใครสังเกตเห็นซะด้วยซ้ำ

3. รักและใส่ใจกับผู้ริเริ่มสิ่งใหม่ๆอยู่เสมอ

4. ทำทุกสิ่งที่สำคัญ และทำจากใจ
โทบักต้องข้อสังเกตว่า การบริหารงานของแอปเปิลนั้นจะไม่มีการแยกฝ่ายกันอย่างชัดเจน ทุกอย่างต้องทำภายใต้การรับผิดชอบร่วมกัน

5. ดูแลการตลาดอย่างใกล้ชิด จ็อบส์ให้ความสำคัญกับการทำการตลาดเป็นอย่างมาก โดยแอปเปิลจะไม่มีการจ้างบริษัทอื่นเพื่อมาทำการวิจัยทางการตลาด แต่พวกเขามีทีมเป็นของตัวเองในการรับผิดชอบเรื่องนี้

6. ควบคุมสาส์นที่จะสื่อออกไปถึงผู้บริโภค ซึ่งแอปเปิลจะมีวิธีการในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และการประชาสัมพันธ์บริษัทที่ แตกต่างจากบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆอย่างเห็นได้ชัด

7. สิ่งเล็กๆน้อยๆก็อาจสร้างความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ได้ พนักงานของแอปเปิลรู้ซึ้งถึงแนวคิดนี้เป็นอย่างดี ซึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ ระหว่างการเปิดตัวไอโฟน 4 ซึ่งเป็นช่วงที่พนักงานทุกคนทำงานอย่างหนัก ผู้บริหารก็สั่งอาหารอย่างดีมาให้ บางสาขาถึงกับลงทุนจ้างพนักงานนวดมาเพื่อนวดคลายเส้นให้แก่พนักงานของแอ ปเปิลโดยเฉพาะ

8. อย่าปล่อยให้คนทำงานแต่เพียงอย่างเดียว แต่ต้องปล่อยให้พวกเขาทำงานให้ดีขึ้นเรื่อยๆ จ็อบส์เคยกล่าวเอาไว้ว่า หน้าที่หลักของเขาคือทำยังไงให้พนักงานทำงานดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งคำตอบก็คือ เขาจะต้องคอยผลักดันให้พนักงานทุกคนก้าวหน้า

9. เมื่อคุณค้นพบว่าสิ่งนั้นทำแล้วได้ผล จงทำต่อไปเรื่อยๆ แอปเปิลเป็นบริษัทที่ทำในสิ่งที่ตนเองถนัด และพัฒนาจนสิ่งนั้นๆล้ำหน้ากว่าคนอื่น

10. การคิดต่าง จ็อบส์เคยกล่าวไว้ในงานวันรับปริญญาของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดว่า อย่าปล่อยให้เสียงหรือความคิดของคนอื่น ดังกว่าเสียงหรือความคิดของตัวคุณเอง ดังนั้น ไม่ว่าสิ่งที่คุณคิดจะแตกต่างจากคนอื่นแค่ไหน จงเชื่อมั่นและทำต่อไป





ที่มา
news.voicetv

เฟิน 51040888 (':

กรอบความคิดทั้ง 4

กรอบความคิดทั้ง 4

เข้าใจเรื่องกระบวนการคิด..


ในทุกๆวันคนเรามักจะใช้ความคิด ในการทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่ความคิดที่เรากำลังพัฒนา เป็นการพัฒนาหัวสองทั้งด้านซ้ายและขาว ในส่วนของ เหตุผล และ จินตนาการ ดังนั้น การทำกิจกรรมพัฒนาความคิดในชุดนี้ จะเน้นทางด้านการใช้เหตุผล การใช้จินตนาการ เพื่อสร้างสรรงานที่ทำให้มีคุณค่า และ ปรับปรุงงานที่ทำให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

กรอบความคิดทั้ง 4


กรอบความคิดในการพัฒนาระบบงาน และ องค์กรนั้นมีด้วยกัน 4 อย่างคือ

1. Positive Thinking ความคิดในเชิงบวก
เป็นความคิดเพื่อในแง่ดี มองในแง่มุมของความเป็นไปได้ ให้กำลังใจกับตนเอง และ ผู้อื่น ซึ่งเป็นความคิดพื่นฐานของความคิดที่ดีๆทั้งหมด เช่น คิดว่าจะทำอย่างไรให้แผนกทำงานได้ปริมาณ และ คุณภาพ มากที่สุดในเวลาเท่าเดิม หรือ คิดว่า เราจะทำอย่างไรดีที่จะทำให้งานที่บริการลูกค้าแล้ว ลูกค้าพึงพอใจอย่างมาก จากการบริการของเรา เป็นต้น


2. Creative Thinking ความคิดสร้างสรร
เป็นความคิดประยุกต์ จากประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถ รวมทั้ง การปรับปรุงสิ่งที่มีอยู่ให้มีคุณค่ามากยิ่งขึ้น มีประโยชน์มากขึ้น อย่างเช่น คิดถึงผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อสามารถขายให้กับลูกค้าได้ คิดถึงการสร้างงานในแขนงใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นเพื่อส่งเสริมให้ลูกค้ามีข้อมูลในการใช้งานมากยิ่งขึ้น อาจจะคิดถึงการรายงานในรูปแบบใหม่ เพื่อให้ข้อมูลกับหัวหน้างานได้ดีขึ้น เป็นต้น


3. Lateral Thinking ความคิดนอกกรอบ
เป็นความคิด นอกกรอบ หรือ บางทีบางคนใช้ทางด้าน จรรยาบรรณ ศิลธรรม หรือ ความจงรักภักดีในหน้าที่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องปลูกฝังให้พนักงานมีความคิดลักษณะนี้ เพื่อทำให้องค์กรแข็งแรง อย่างเช่น การทำให้พนักงานตระหนักถึง ความปลอดภัยของข้อมูล ความลับของบริษัทฯห้ามเปิดเผย การสร้าง Royalty กับบริษัทฯ การสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างพนักงาน และ หัวหน้างาน ทำให้พนักงานตัดสินใจยากในการออกจากบริษัทฯเรา


4.Strategic Thinking ความคิดเชิกลยุทธ์
เป็นความคิดในการมองรอบด้าน การพัฒนา และ การวางแผนเพื่อให้การทำงานบรรลุวัตถุประสงค์ ซึ่งเป็นแนวความคิดทั้งเหตุ และ ผล รวมรวมกัน ตัวอย่างเช่น หากพนักงานของเรามีความคิดเชิงกลยุทธ์ ก็จะมองออกว่า ในอุตสาหกรรมของลูกค้าเรา เขาใช้กลยุทธ์ใดกันบ้าง และ เขาต้องการให้เราบริการงานของเขาทางด้านใด เราก็จะสามารถทำได้ถูกต้อง ตรงใจ ตรงความต้องการของลูกค้า เป็นต้น


ทั้งนี้และทั้งนั้น การมีเพียงความคิด ไม่ได้บ่งบอกถึงความสำเร็จที่จะเกิดขึ้น การมีความคิดดี ต้องประกอบด้วยการลงมือทำให้เกิดขึ้นดัวย ดังนั้น ทุกๆหัวข้อจึงเน้นให้ทุกคนแสดงแนวความคิดที่สามารถนำไปใช้งานได้ พูด สื่อสารให้ทุกคนเข้าใจถึงแนวความคิดที่คิดได้ และ ลงมือทำ ลงมือคิด เพื่อเปลี่ยนความคิดพัฒนาบริษํทฯ ให้เป็นรูปธรรมขึ้น ซึ่งแนวความคิดโดยรวมยังประกอบด้วย 5 หลักใหญ่ๆคือ

1. สร้างการเรียนรู้ หรือ ทำให้เกิดการเรียนรู้ จะเห็นว่าองค์กรขนาดใหญ่จะเน้นเรื่ององค์กรแห่งการเรียนรู้ เพราะการเรียนรู้จะทำให้เกิดความผิดพลาดน้อยลง คุณภาพมากขึ้น สามารถมีแนวทางในการคิดเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆให้ดีขึ้น.

2. พัฒนาความคิด ส่งเสริมความคิดต่างๆ มีองค์กรหัวก้าวหน้า จะเริ่มสร้างองค์กรแห่งความคิด เพื่อส่งเสริมให้พนักงานได้ช่วยกันคิด ยึดหลักการณ์ว่า หลายหัวดีกว่าหัวเดียว แต่เราเลือกคนที่มีความสามารถและทุ่มเทให้กับบริษัทฯได้ยาก ยิ่งจะหาคนใหม่ๆเข้ามายิ่งยาก ดังนั้น การสร้างคนที่มีอยู่ให้มีความคิดความเข้าใจในแนวทางการปรับปรุงแผนก หรือ ระบบงาน จะได้คุณภาพที่มากกว่า และ เร็วกว่า การสอนให้คนเก่งที่ไม่เคยเรียนรู้งานหรือ ไม่เข้าใจระบบงานของบริษัทฯ มาปรับปรุงงานในแบบเดียวกัน

3. การปฏิบัติงานให้ได้คุณภาพ ทำในสิ่งที่คิดให้เป็นรูปธรรม ทำให้เกิดผลขึ้นจะใช้ยุทธวิธีใดๆเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้ ส่งเสริมการทำงานอย่างมีคุณภาพและปริมาณ ในเวลาที่จำกัด

4. การสื่อสาร ไม่ว่า พูด หรือ เขียน ไม่ว่าทางใดก็ตามในผลงานที่เราทำขึ้น สร้างขึ้น คิดขึ้น หรือ งานที่ทำ ให้กับหัวหน้างาน ให้กับเจ้านายรับรู้ ให้กับลูกค้ารับรู้ เพื่อให้เขาได้รับทราบ ถึงความก้าวหน้าของงานที่ทำ ซึ่งจะเป็นตัวส่งให้เกิดประสบความสำเร็จได้อย่างมาก

5. การสรุป และ ประเมิณผลงานของตน ประเมิณความพึงพอใจของลูกค้าว่าเป็นอย่างไร ต้องประเมิณบ่อยๆ เพื่อให้รู้ว่าตนเองอยู่ในตำแหน่งใดด้วย...

ดังนั้น ความคิดเป็นเพียงองค์ประกอบเดียวของความสำเร็จ แต่ก็เป็นองค์ประกอบที่สำคัญ สำหรับองค์กรที่ต้องการความก้าวหน้า...


ตัวอย่างการคิดเชิงกลยุทธ์


ต้นไม้เชิงกลยุทธ์

หากต้องการตัดกิ่งของต้นไม้ จะเห็นว่าทุกกิ่ง ก็เหมือนกันหมด แต่หากแต่ละกิ่ง มีผลไม้ ในจำนวนไม่เท่ากัน การตัดกิ่งที่มีผลน้อยกว่า จะทำให้เราสูญเสียน้อยลง และในกรณีเดียวกัน หากเราเพียงไม่ต้องการให้กิ่งไม้ไปชนสายไฟ เราก็ต้องตัดกิ่งที่จะมีแนวโน้มที่จะไปโดนเสาไฟ หรือ หากคุณต้องการตัดกิ่งเพื่อสวยงาม ก็ต้องเลือกตัดกิ่งที่ดุแล้วมันจะทำให้รูปลักษณ์ของต้นไม่เสียไป จะเห็นว่า เพียงแค่การตัดกิ่งไม้ ก็จะมีแนวทางในการเลือกมากมาย แต่ถ้าตัดทั้งลำต้น ต้นไม้ก็จะตาย ยกเว้นต้นไม้บางประเภทที่สามารถขึ้นต้น กิ่งก้านใหม่ได้ ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะคิดทำอะไร เป้าหมายที่คุณต้องการไปให้ถึง นั่นเป็นสิ่งสำคัญในความคิดเพื่อให้ไปถึง ณ จุดนั้น ย้อนกลับเปรียบ เทียบกับการทำงาน หากคุณต้องสูญเสีย เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างดี ก็ต้องเลือกตัดกิ่งที่คิดว่าจะไม่กระทบกับเป้าหมายมากที่สุด นั่นก็เป็นการคิดเชิงกลยุทธ์ อีกทางหนึ่ง




น.ส.ฤดีมาศ บุญทรง (ส้มโอ) 51040874

50 วิธีสู่การเป็นนักออกแบบที่ดีกว่า

ออกไอเดีย


ผ้าใบวาดรูปเปล่า ๆ มันดูจะน่ากลัว แล้วเราควรจะเริ่มกับมันยังงัย เรามีวิธีแนะนำที่จะให้อยู่จับความคิดใส่ลงไป



1.ใส่ภาพเล็กที่มีความละเอียดน้อยลงไปก่อน เมื่อจะใช้ภาพในให้ใส่ภาพที่มีความละเอียดสูงเข้าไป



2.การเปรียบเทียบ เชิงอุปมาอุปมัยว่า
หัวข้อ และการอุปมาอุปมัยสิ่งที่ดีสำหรับไอเดียและฉันก้อพยายามที่จาพัฒนาไอเดีย จากการมองแบบประสบการณ์หรือสิ่งใกล้ตัว
อีกทั้งมุมองของการออกแบบ อย่างการจัดระบบสีและรูปแบบของโครงสร้าง ถ้าคุณเจอเข้ากับหัวข้อที่เหมาะกับคุณนั้นคือโอกาสของคุณเลย



3.จากคำสู่ภาพ
เมื่อฉันได้รับมอบหมายหน้าที่ สิ่งแรกหน้าที่ฉันจะทำคือการอ่านมันและขีดเส้นใต้วลีที่สำคัญ แล้วก้อจาวาดรูปเล็ก ๆ ประกอบลงไปเพื่อหา
เอกลักษณ์หรือหาประเด็นของเนื้อหาของมัน



4.ฉันจะแนะนำการดำเนินงานด้านแบรน ก็เหมือนการออกแบบสมาคมธุรกิจ ความคิดแบรนนั้นสำคัญ มันเป็นกำลังใจให้คุณพัฒนา
ไอเดียให้มองเห็นภาพได้ชัดมากขึ้นหรือช่วยพัฒนาในการหาจุดเล็ก ๆ ที่มันซ่อนอยู่ในไอเดียของคุณและทำให้มันง่าย เพราะถ้าทำให้
ซับซ้อนเกินไปเราก้อจะไม่สามารถทำงานได้



5.เมื่อระดมความคิดแล้วสรุปให้สั้น เมื่อมีไอเดียแล้ว มันจำเป็นที่จะย่อให้สั้นและกระทัดรัดเมื่อแวดล้อมไปด้วยเพื่อนร่วมงาน แต่ความลับ
คือเก็บความคิดแต่ละคนจดไว้ถ้าเป็นไปได้ ประชุมกันเยอะ ๆ ดีกว่าที่จะมานั่งคนเดียว



6.ใช้สมุดสเก็ต โดยปกติแล้วฉันจาเขียนไอเดียหรือวางแผนในสมุดเอสี่ ที่ฉันนำติดไว้ด้วยตลอดเวลา ทุกไอเดียจาอยู่ในนั้นและไอเดียเหล่านั้น
ก้อจาถูกนำมาใช้



7.หนีห่างจากหน้าคอม
สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือการนั่งอยู่หน้ากระดาษวาดภาพเปล่า ๆ บนหน้าจอ เดินออกไปจากเก้าอี้และใช้เวลาสัก สิบนาทีสูดอากาศสดชื่น



8.เข้ารวมอภิปรายปัญหา
ถ้ามีเพื่อนเป็นนักออกแบบ เป็นเรื่องที่ดีเลยทีเดียว ให้ลองพูดคุยหรือถกปัญหาเกี่ยวกับงานศิลปะดู มันจาทำให้ไอเดียโลดแล่นมากขึ้น



9.อาบน้ำ
ฉันคิดไอเดียได้มากเวลาอาบน้ำ ไอเดียดี ๆ มักจะออกมาพร้อมกับฟักบัวเสมอ



10.นำงานของคุณเก็บเข้าบัญชีไว้เพราะคุณอาจจาต้องการมันมันใช้ในงานของคุณและมันอาจจะสำคัญมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็น
ภาพถ่าย ภาพ งานทรีดี หรือชาร์ต หรือ ไดอแกรม ก็ตาม





การฝึกฝนคือสิ่งที่ดีที่สุด



11.เก็บไว้ใน library
เมื่อทำงานด้วยไฟล์แฟลต ฉันจาให้ความสนใจกับเลเยอร์แล้วก้อเรื่องของซิมโบ และทุกครั้งฉันจาเก็บงานไว้ใน library ที่จาเก็บ
timers, loopers, buttons, code snippets and symbolsฉันใช้มันทุกครั้ง และทำให้งานเสร็ดได้ไหวขึ้น



12 WEB STANDARDS
เมื่อออกแบบเว็บไซด์ คุณสามารถ save load จาก Firefox เช่น พัฒนาเว็บ HTML Validator and Fangs
จะช่วยประหยัดเวลาได้มากขึ้น



13.มั่นเข้าเว็บบ้าง เช่น pixelsurgeon.com หรือ designiskinky.com และก้ออ่าน Computer Arts อย่าเพียงแต่ดูงานของคนอื่น
คุณควรรู้เกี่ยวกับอุตสาหกรรมหรือก้าวให้ทันทางด้านซอฟแวร์ อย่าทำตัวล้าหลังเหมือนที่นักออกแบบคนอื่นทำกัน และอย่าทำเพียง
แค่ตามกระแส


14.ทำให้ง่ายเข้าไว้ และไม่ซับซ้อน



15.บันทึกสิ่งที่ทำ
ถ้าใช้ Photoshop บ่อย ๆ มันจำเป็นมากที่บันทึกสิ่งที่เราทำไว้ ฉันแค่เรียนรู้เทคนิดอันนี้มันทำให้ประหยัดเวลาได้มากเลยทีเดียว



16.เชฟแล้วก้อเซฟ เซฟ
เชฟงานเสมอทุกครั้งที่กำลังทำถ้าเป็นไปได้ 17.ให้ลูกค้าเปลี่ยน ขนาดหรือฟอลแมตในครั้งสุดท้าย และอย่า flatten layers ใน
Photoshop จนกว่างานจะเสร็จ



18.ไม่มีการเรียกร้องโดยไม่รับการอนุญาติจากหัวหน้า



19.ถูกต้องตั้งแต่ครั้งแรก การเจอปัญหากับลูกค้าที่ไม่แน่นอนเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับนักออกแบบเว็บต้องค่อนข้างมีความ
แน่นอนทางด้านกระบวนการ ถึงแม้ว่างานนั้นจะลำบากแค่ไหน คุณต้องทำงานให้ถูกตั้งแต่ครั้งแรกแล้วคุณจะมั่นใจได้ว่าจะได้รับ
งานจากลูกค้าคนเดิม20.ฝึกไว้ให้สมบูรณ์แบบ งานที่มากก้อต้องใช้เวลากับโปรแกรมมากมันจะทำให้คุณเณ้วขึ้นและมีประสิทธิภาพ
มากขึ้นคุณไม่ได้เพียงเรียนรู้จากสิ่งที่ผิดพลาดและมันจาช่วยให้งานมีคุณภาพมากขึ้น



ทักษะทางด้านซอฟแวร์



คนทำงานที่ไม่ดีจะโทษเครื่องมือของเค้า ต้องแน่ใจว่าซอฟแวร์ของคุณทำงานให้ตุณและไม่ได้ต่อต้านคุณ



21.ฝึกใช้ ALPHA CHANNELS ใน PHOTOSHOP


22.ซื้อแรมเพิ่มให้มากที่สุดถ้าเป็นไปได้ เพราะการทำทำงานต้องใช้แรมจำนวนมาก
ตั้งแต่งานเล็กจนถึงงานช้าง



23. .ฝึกใช้ GRADIENTS ใน PHOTOSHOP



24.แยกเลเยอร์ให้เยอะ เกิดความผิดพลาดจะได้แก้ง่าย ๆ



25 ปรับ Opacity ให้น้อยลง และเพิ่ม Gaussian Blur แล้วรวมเข้าด้วย Clipping Mask ใน Illustrator จะได้ airbrush ที่ใน PHOTOSHOP ทำไม่ได้



26.อย่าใช้ GRADIENTS สีดำไล่ไปสีเขียวใน flash เพราะมันดูน่าเกลียด



28.ใช้เทคนิค vector image แทน Layer Group colours และ Shy Layers



29.การใช้ filters หรือ effects เฉย ๆ อาจจะดูง่ายไป ลองใช้ filters หรือ effects ดูแล้วปรับเปลี่ยนให้ดูแปลกตาไม่เหมือนใครมากขึ้น



30.คิดบนกระดาษ ให้คิดไอเดียแล้วเขียนลงบนกระดาษ แล้วสแกนออกมาแล้ว เทคนิคของฉันที่คิดด้วยปากกาและกระดาษเป็นอย่างแรก แล้วถึงใช้คอมพิวเตอร์
มันจะช่วยให้งานมีน้ำหนักมากขึ้น





งานและกลเม็ด ‘put the cherry on top’



สายตาคุณเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะตรวจสอบงานและรายละเอียด และระหว่างชิ้นงานที่ดีและดีเยี่ยม คุณจะเรียนรู้อย่างไรที่จะเก็บผลงานที่ดีเยี่ยม



31.เดินออกไป ฉันดูว่างานฉันมันเสร็จสมบูรณ์แล้วและฉันก้อจากมันไปทั้งวันถ้าฉันทำได้ บางครั้งเวลามันก้อทำให้บางสิ่งมันเสร็จสมบูรณ์เอง
แล้วฉันจะเห็นข้อผิดพลาดของงานแล้วจะกลับไปแก้อีกครั้ง



32. ACROBATICS ตรวจงานให้ละเอียดทุกครั้งใน Adobe Acrobat Professional



33.ลองให้คนอื่นดูงานของเราเพราะบางทีสายตาของเค้าอาจจะเห็นได้ละเอียดกว่าเรา



34.กลับไปดูสิ่งที่เราจดไว้กับสิ่งที่เราคิด ตรวจว่าเราพบอะไรอยู่ในงานที่สำเร็จ



35.พอคือพอ
มันสำคัญมากเมื่อรูว่าทำเสร็จ แล้วเมื่อไหร่ควรหยุด มันเสี่ยงเกินไปที่จะทำมันไปเรื่อย ๆ



36.การปริ้นงานที่ดีเป็นดีที่ดีเยี่ยม เมื่องานออกมาจากเครื่องคอมพิวเตอร์ มีหลายคนที่ต้องทำงานไม่สำเร็จกับโลกของดิจิตอล



37.เพิ่มพื้นผิว
ฉันใช้ความรู้สึกมาใส่ในงาน พื้นทำให้เรารู้สึกได้และมันทำให้งานออกมาสมบูรณ์มากขึ้น แต่มันเป็นแค่เทคนิคส่วนตัวของฉัน



38.การเตรียมพร้อม เรียนรู้เกี่ยวกับเครื่องที่จะใช้งานและพยามเรียนรู้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคุณและงานของคุณ แน่ใจว่างานคุณจะไม่เสียหาย



39.การเพิ่มเงา
การเพิ่มเงาทำให้ดูเป็นวัตถุมากขึ้น และทำให้งานดูดีเป็นเงางาม



40.ตรวจสอบงานว่าถูกต้อง งานที่คิดว่าเสร็จสมบูรณ์แล้วให้ถอยหลังกลับไปดูจนกว่าคุณจะรู้สึกขยาด ตรวจทุกความละเอียดของมัน
ลดหรือเพิ่ม effect บางตัว





สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง



การเรียนรู้จากสิ่งที่ผิดพลาด 10สิ่งที่คุณควรหลีกเลี่ยงเมื่อทำงานกับลูกค้า



41.อ่านแล้วอ่านอีกเมื่อคุณเขียนอีเมล อย่าได้ใส่ที่อยู่จนกว่าจะแน่ใจจิง ๆ ว่าถูกต้องให้กลับไปอ่านว่าคุณเขียนอะไรลงไปสักสองครั้ง
มีคนจำานวนมากที่กลัวกับการส่งเมลไปใครสักคน กับในสิ่งที่พวกเค้าไม่ต้องการส่งอย่าให้เป็นคุณเลย เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่จะยกเลิกส่ง
การส่งเมล



42.อย่าไว้ใจให้คอมตรวจคำผิดอย่าไว้ใจให้เครื่องของคุณตรวจคำผิด ทุกครั้งฉันจะตรวจอย่างระมัดระวัง แล้วหาใครสักใครมาตรวจ
อีกครั้ง เพราะว่าคุณอาจจะเป็นญาติห่าง ๆ กับคอมก้อได้



43.การทำงานกับลูกค้าทุกคนรู้ที่จะคิดนอกกล่องความคิด แต่ในวงกลมของความคิดสร้างสรรค์ สิ่งที่ดีเยี่ยมอย่างแท้จริงมาจากการค้นหา
วิธีแก้ปัญหาข้างในกล่องที่ลูกค้าสร้างขึ้น อย่ามองเพียงแต่ปัญหาภายนอก แต่ต้องมองที่ล่องรอยของปํญหาและแก้มัน คือให้เรามอง
ที่ปัญหาอย่างแท้จริงไม่ใช่แค่ผิวเพิน



44.ให้เราเลือกงานที่จะรับ ให้เราเลี่ยงงานที่เราไม่สามารถทำได้ เลือกงานของลูกค้าเหมือนที่ลูกค้าเลือกคุณ



45.อย่าคิดเอาเองในสิ่งต่าง ๆ



46.แสดงถึงการกระทำของคุณฉันเคยได้ทำงานกันลูกค้าแฟชั่นแบรนประมาณ 2-3 ราย เมื่อไม่นานมานี้ และ พวกเค้าก้อดูเหมือนเป็นลูกค้า
ที่ดีที่สุดในโลก แต่ ฉันคิดว่าถ้าคุณจาเตรียมเหตุผลดี ๆ สำหรับสิ่งที่คุณทำและอาจจาเตรียมวิธีแก้ปัญหาไว้ให้มากๆ เพื่อความต้องการของ
พวกเค้า เพราะคุณจะเป็นฝ่ายที่ควบคุเค้า



47. Design history.ฉันไม่เคยประสบปัญหาอะรัยทั้งนั้น แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันทำอยู่เสมอคือการ แบลคอัพ ไฟล์ไว้ เก็บไอเดียต้นฉบับของคุณ
ไว้เพราะคุณอาจจะต้องใช้มัน บางทีคนเราก้ออาจจะเปลี่ยนใจได้ง่าย ๆ พอ ๆ กับเปลี่ยนกลับมาใช้อันเดิม



48. เวลาทำงานกับลูกค้า ให้เราอยู่เหนือความคิด คือเวลาขายงานต้องทำให้เค้ายอมรับเราให้ได้



49.เมื่อทำงานกับลูกค้าใหม่ ๆ ต้องเปลี่ยนมุมมองของตัวเองหรือว่าเปลี่ยนไปสู่สิ่งที่เกี่ยวข้องในสิ่งที่ทำ



50.เวลาจะตอบโจทย์อะไรสักอย่างให้คำนึงถึงโจทย์นั่น แล้วต้องตอบให้ตรงประเด็น





สนับสนุนโดย http://www.captuscom.com





ที่มา http://guru.sanook.com/pedia/topic/50_วิธีสู่การเป็นการออกแบบที่ดีกว่า_/


วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เอเอสพีดอตเน็ต

เอเอสพีดอตเน็ต (อังกฤษ: ASP.NET) คือเทคโนโลยีสำหรับพัฒนาเว็บไซต์ เว็บแอปพลิเคชัน และเว็บเซอร์วิส ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของดอตเน็ตเฟรมเวิร์ก พัฒนาโดยไมโครซอฟท์

ASP.NET เป็นรุ่นถัดจาก Active Server Pages (ASP) แม้ว่า ASP.NET นั้นจะใช้ชื่อเดิมจาก ASP แต่ทั้งสองเทคโนโลยีนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยไมโครซอฟท์นั้นได้สร้าง ASP.NET ขึ้นมาใหม่หมดบนฐานจากCommon Language Runtime (CLR) ซึ่งทำให้ผู้พัฒนาสามารถเลือกใช้ภาษาใดก็ได้ที่รองรับโดยดอตเน็ตเฟรมเวิร์กเช่น C# และ VB.NET เป็นต้น ปัจจุบันรุ่นล่าสุดคือ ASP.NET 2.0 ซึ่งรวมอยู่ใน .NET Framework 2.0. และ .NET Framework 3.0.

ASP.NET 1.0 ได้ออกมาในเดือนกุมภาพันธ์ ปีพ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) พร้อมกับ Visual Studio .NET 2002 ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2546 ASP.NET 1.1 นั้นได้ออกมาพร้อมกับ Visual Sttudio .NET 2003 และในวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548 ASP.NET 2.0 ได้ออกมาพร้อมกับ Visual Studio 2005 และ SQL Server 2005.

รูปแบบไฟล์ ASPX

ASPX เป็นชื่อรูปแบบไฟล์ของหน้าแบบฟอร์ม ASP.NET โดยทั่วไปแล้วในไฟล์จะมีรหัสแบบ HTML หรือ XHTML ซึ่งใช้กำกับรูปแบบฟอร์ม หรือ เนื้อหาในหน้าเว็บ และในส่วนของโค้ดนั้น อาจจะอยู่ในหน้าเดียวกันในแท็ค หรือ บล็อก <% -- รหัสที่ใช้ -- %> (โดยในกรณีนี้จะคล้ายกับเทคโนโลยีที่ใช้พัฒนาเว็บ อย่าง PHP และ JSP) หรือแยกอยู่ในหน้าโค้ดออกมาต่างหาก (Code behind) ASP.NET รองรับการเขียนโค้ดในบรรทัดเดียวกันทั้งหมดในไฟล์ ASPX แต่วิธีนี้นั้นเป็นวิธีที่ไม่แนะนำ

ข้อได้เปรียบหลักของ ASP.NET ระหว่าง ASP

  • โค้ดจะได้รับการ compiled ทำให้การทำงานรวดเร็วขึ้น และช่วยจับข้อผิดพลาดในช่วงการออกแบบได้
  • ระบบการจัดการข้อผิดพลาด (Exception handling) ที่ดีขึ้นกว่าเดิม
  • ใช้วิธีการพัฒนาวินโดวส์แอปพลิเคชันอย่างการใช้ controls หรือ events ซึ่งทำให้การพัฒนาง่าย และดูดีขึ้น
  • มีหลากหลาย controls และไลบรารีพร้อมในการใช้งานให้เลือกเพื่อการพัฒนาที่สะดวก และรวดเร็วขึ้น
  • สามารถพัฒนาได้หลากหลายภาษาที่รองรับดอตเน็ต เช่น C# VB.NET J# เป็นต้น
  • สามารถทำการแคชได้ทั้งหน้า หรือส่วนหนึ่งของหน้าที่ต้องการ
  • สามารถแยกส่วนโค้ดออกมาต่างหากจากหน้ารูปแบบ
  • Session สามารถเลือกที่จะบันทึกในฐานข้อมูลได้ ทำให้ session ไม่สูญหายหากมีการรีเซ็ตเว็บเซิร์ฟเวอร์ เป็นต้น
  • รองรับมาตรฐานเว็บดีขึ้นกว่าเดิม รวมถึงการทำงานร่วมกับ CSS

http://th.wikipedia.org/wiki/เอเอสพีดอตเนต

วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ใกล้แล้ว! กูเกิลพร้อมปล่อยลูกเล่นใหม่บนอินเทอร์เน็ตทีวี

น่าจับตามองอย่างยิ่ง สำหรับการแข่งขันทางเทคโนโลยีในช่วงเวลานี้ที่มีบริษัทยักษ์ใหญ่มากมายต่างก็ออกผลิตภัณฑ์และลูกเล่นใหม่ ๆ มานำเสนอผู้บริโภคอยู่เสมอ มาล่าสุด ยักษ์ใหญ่วงการอินเทอร์เน็ตอย่าง "กูเกิล" (Google) ได้เตรียมออกบริการใหม่เอาใจคนรักการเล่นอินเทอร์เน็ตและชมโทรทัศน์ด้วยการรวมฟังก์ชั่นเข้าด้วยกันเป็น "อินเทอร์เน็ตทีวี" (Internet TV) แบบใหม่ที่สามารถใช้งานได้พร้อมกันซะเลย

ลูกเล่นใหม่ที่ว่านี้ จะรองรับกับการทำงานของ "กูเกิลทีวี" (Google TV) ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานได้ใช้อินเทอร์เน็ตและรับชมรายการต่าง ๆ ทางโทรทัศน์ได้พร้อมกันทันที โดยที่ไม่ต้องเลือกเปลี่ยนไปเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งหรือต่อสายเคเบิ้ลอื่น ๆ ให้ยุ่งยากอีกต่อไป นอกจากนั้นแล้ว ลูกเล่นใหม่ที่ว่านี้ยังมีฟังค์ชั่นในการรับชมคลิปต่าง ๆ บนยูทูบในระบบเอชดี (High Definition) อีกด้วย โดยกูเกิลเตรียมที่จะปล่อยให้ทดลองใช้กันแล้วที่ประเทศอังกฤษในช่วง 6 เดือนนับจากนี้

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายอีริค ชมิดต์ ประธานบริหาร ซึ่งดูแลในส่วนของภาพรวมธุรกิจ การดูแลพันธมิตร และลูกค้าของกูเกิล ก็เตรียมให้สัมภาษณ์กับสื่อในงานเทศกาลโทรทัศน์เอดินเบิร์ก (Edinburgh Television Festival) ในค่ำคืนนี้ โดยจะเริ่มใช้ลูกเล่นใหม่ที่ว่านี้กับรายการ "X Factor" รายการที่ค้นหาศิลปินนักร้องหน้าใหม่ผ่านการโหวตของคนทั้งประเทศ เพื่อให้ผู้ชมสามารถรับชมการถ่ายทอดสดของรายการ และร่วมแสดงความคิดเห็นผ่านทวิตเตอร์ได้พร้อม ๆ กัน

นอกจากนี้ ก็เป็นที่คาดการณ์กันว่า หากลูกเล่นใหม่ของกูเกิลได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ก็จะทำให้กูเกิล ก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่สามารถต่อกรและเป็นคู่แข่งคนสำคัญของบริษัทอื่น ๆ ในตลาดโทรทัศน์ เฉกเช่นที่เป็นยักษ์ใหญ่ในโลกอินเทอร์เน็ต ซึ่งขับเคี่ยวอย่างสูสีกับ "เฟซบุ๊ก" อยู่ในขณะนี้


อริญญา ปิ่นแก้วกาญจน์ ปอย

การเตรียมตัวเป็นนักวิเคราะห์ระบบ

การเตรียมตัวเป็นนักวิเคราะห์ระบบ
นักวิเคราะห์ระบบจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ด้านวิชาการคอมพิวเตอร์และด้านธุรกิจในแขนงต่าง ๆ โดยเฉพาะในงานด้านที่ตนจะต้องเข้าไปทำการวิเคราะห์และออกแบบระบบนั้น ๆ และสามารถที่จะพัฒนาระบบเพื่อแก้ปัญหาให้กับผู้ใช้หรือธุรกิจอย่างมีเทคนิคและแบบแผน ผู้ที่จะเป็นนักวิเคราะห์ระบบที่ดีจะต้องมีการเตรียมตัวศึกษาและหาประสบการณ์ในด้านต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
1. มีความรู้และประสบการณ์ทางด้านเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นอย่างดี ซึ่งอาจจำแนกย่อยออกเป็น
1.1 ด้าน Hardware คือ ด้านระบบของตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นรูปธรรมที่เกี่ยวกับชนิดและประเภทของเครื่อง ความสามารถเข้าใจการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคต่าง ๆ โดยเฉพาะเครื่องในยุคปัจจุบันที่กำลังทำการวิเคราะห์และออกแบบระบบอยู่ ระบบเครื่องคอมพิวเตอร์ก่อนยุคปัจจุบันหนึ่งยุคซึ่งเป็นเครื่องที่ยังมีผู้ใช้อยู่ในปัจจุบัน และระบบเครื่องคอมพิวเตอร์ที่กำลังจะนำเข้ามาใช้แทนยุคปัจจุบัน
1.2 ด้าน Software คือ โปรแกรมต่าง ๆ ที่เป็นระบบปฏิบัติการของเครื่อง เช่น ระบบ PC-DOS, MS-DOS, UNIX, OS/2 และ WINDOWS ในเวอร์ชันต่าง ๆ นอกจากนี้ จะต้องมีความรู้เกี่ยวกับโปรแกรม APPLICATION ต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้าน WORD PROCESSING เช่น CU-WRITER,WORD FOR WINDOWS, MICROSOFT WORD Version ต่าง ๆ , LOTUS Version ต่าง ๆ , Dbase, FOXPRO, ACCESS Version ต่าง ๆ เป็นต้น
นักวิเคราะห์ระบบไม่จำเป็นจะต้องเขียนโปรแกรมเป็นหรือใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เป็นทุกเครื่อง แต่จะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์ทางด้านนี้มามากเพียงพอที่จะทำการวิเคราะห์และออกแบบระบบได้ เช่น ต้องรู้ว่าธุรกิจแห่งนั้นใช้เครื่องคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ระบบอะไร ซึ่งเหมาะสมกับระบบธุรกิจนั้นหรือไม่ ถ้าไม่เหมาะสมควรจะแนะนำให้ใช้ระบบอะไรแทนหรือถ้าจะต้องเปลี่ยนแปลงจากระบบเดิมไปใช้ระบบใหม่ ต้องออกแบบระบบใหม่ให้ใช้ได้อย่างถูกต้องตามความต้องการและความเหมาะสมของผู้ใช้ระบบ เป็นต้น
2. เป็นผู้มีความรู้ทางด้านธุรกิจแขนงต่าง ๆ ที่จะนำไปใช้สำหรับการบริหารองค์กร เช่น
2.1 ความรู้ทางด้านการบริหารทั่วไป เกี่ยวกับการจัดองค์กรธุรกิจ การจำแนกสายการปฏิบัติงาน การจัดตั้งทีมงาน หรือความรู้เกี่ยวกับการจัดองค์กรบริหารธุรกิจในรูปแบบต่าง ๆ เป็นต้น
2.2 ความรู้สำหรับใช้ในการตัดสินใจ (Decision Making และ Decision Support) เช่น Statistics, Probability, Theory of Game, Decision Table, Network Analysis เป็นต้น
2.3 ความรู้ทางด้านเศรษฐศาสตร์และธุรกิจ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการออกแบบระบบ เพราะการออกแบบระบบนั้นจะต้องเป็นการออกแบบที่สอดคล้องกับหลักเศรษฐศาสตร์และการบริหารธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะต้องรู้จักการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ (Feasibility Study) การวิเคราะห์จุดคุ้มทุน (Break Even Analysis) การวิเคราะห์ผลการปฏิบัติงาน (Performance Analysis) เป็นต้น
2.4 ความรู้ทางด้านระบบบัญชีและการวิเคราะห์ทางการเงิน อันเป็นหัวใจสำคัญขององค์กรธุรกิจทุกแห่ง ซึ่งการวิเคราะห์และออกแบบระบบงานมักจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับระบบบัญชีและการเงินขององค์กรธุรกิจนั้น ๆ ด้วยเสมอ
3.เป็นผู้ที่มีความรอบรู้และประสบการณ์ทางด้านการวิเคราะห์และออกแบบระบบเป็นอย่างดีโดยการศึกษาหาความรู้จาก
3.1 การศึกษาวิชาการวิเคราะห์และออกแบบระบบงานโดยตรงจากห้องเรียน หรือ จากตำราที่มีผู้เขียนขึ้นสำาความรู้จาก
หรับการศึกษาหรือสำหรับการค้นคว้าของผู้สนใจทั่วไป หรือจากบทความ การสัมมนาทางวิชาการ ที่สถาบันต่าง ๆ ได้จัดขึ้น
3.2 ประสบการณ์ที่ได้จากการทำงานเกี่ยวกับการวิเคราะห์และออกแบบระบบจริง ๆ เช่น การฝึกหัดวิเคราะห์และออกแบบระบบในห้องเรียน การไปฝึกงานหรือได้ทำงานทางด้านนี้ร่วมกับทึมงานนักวิเคราะห์และออกแบบระบบ
3.3 ประสบการณ์ทางด้านการเขียนโปรแกรม ถึงแม้ว่านักวิเคราะห์และออกแบบระบบไม่จำเป็นต้องมีความรู้หรือเชี่ยวชาญในการเขียนโปรแกรมก็ตาม แต่ก็ต้องมีความรู้และประสบการณ์ทางด้านการเขียนโปรแกรมเป็นอย่างดีอย่างน้อยหนึ่งหรือสองภาษา เช่น COBOL, BASIC, C++, PASCAL โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะต้องมีความรู้หรือความสามารถในการเขียน Program Logic หรือ Program Flowchart เป็นอย่างดี
3.4 ประสบการณ์ทางด้านการเขียนเอกสารและรายงาน (Documentation) ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ได้จากการฝึกหัดและการหัดทำ หัดเขียนบ่อย ๆ
4. ความสามารถในการแก้ปัญหาและหาวิธีการแก้ปัญหา นักวิเคราะห์และออกแบบระบบจะต้องมีความสามารถที่จะแก้ปัญหาใหญ่ ๆ ที่เกิดขึ้นแก่ธุรกิจแยกออกเป็นส่วน ๆ และวิเคราะห์ปัญหาเหล่านั้นเพื่อที่จะหาวิธีการแก้ปัญหา นักวิเคราะห์ระบบจะต้องรู้จักวิเคราะห์ปัญหาในแง่ของการหาเหตุและผล (Cause and Effects) อย่างมีขั้นตอน และรู้จักใช้ความสามารถของตนเพื่อหาทางเลือกในการแก้ปัญหา (Alternative Solution) แม้ว่าความสามารถอันนี้จะเป็นพรสวรรค์ที่แต่ละคนมีไม่เหมือนกัน แต่ความสามารถในการแก้ปัญหา สามารถพัฒนาและเรียนรู้ได้
หัวใจของการหาวิธีการแก้ปัญหาที่สำคัญ คือ การพยายามมองภาพของปัญหาในกว้าง ๆ อย่าคิดว่าวิธีการแก้ปัญหาวิธีแรกที่ตนคิดเป็นวิธีที่ดีที่สุด และเป็นวิธีเดียวเท่านั้น อย่าคิดว่าวิธีการแก้ปัญหาที่คนอื่น ๆ คิด เพื่อแก้ปัญหาที่คล้าย ๆ กันกับของตนนั้นเป็นวิธีมาตรฐาน และใช้ได้กับวิธีของเรา ควรพิจารณาจุดแข็งและจุดอ่อน (Strong and Weak Point) ของแต่ละวิธีโดยละเอียดก่อนที่จะตัดสินใจนำวิธีการนั้น ๆ มาพัฒนาเป็นระบบใช้งานจริง
5. มีมนุษยสัมพันธ์และความสามารถในการติดต่อสื่อสาร เนื่องจากนักวิเคราะห์และออแบบระบบจะต้องพบปะกับบุคคลหลายประเภท หลายอาชีพ และหลายระดับ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว การสื่อสารจึงเป็นสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้บุคคลต่าง ๆ ที่นักวิเคราะห์ระบบติดต่ออยู่เข้าใจในสิ่งที่นักวิเคราะห์ระบบต้องการ และในที่นี้จะหมายรวมถึง ความสามารถที่จะสัมภาษณ์ (Interview) ความสามารถที่จะอธิบายหรือชี้แจงในที่ประชุม (Presentation) รวมทั้งความสามารถในการรับฟัง (Listening) ด้วย
6. ความสามารถในการทำงานเป็นกลุ่ม (Group Work or Team) เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่นักวิเคราะห์ระบบจะขาดเสียไม่ได้ เนื่องจากงานของนักวิเคราะห์ระบบส่วนใหญ่จะต้องกระจายให้กับโปรแกรมเมอร์ ถัดลงไปคือการทำงานเป็นกลุ่มหรือทีม จึงส่งผลต่อความสำเร็จและความเชื่อถือต่อนักวิเคราะห์ระบบเองโดยตรง ซึ่งนักวิเคราะห์ระบบควรจะเล็งเห็นถึงความสำคัญของการทำงานเป็นกลุ่ม ไม่ใช่เฉพาะการทำงานแต่กับฝ่ายของตนเองหรือกับโปรแกรมเมอร์เท่านั้น หากแต่จะต้องทำตัวเองให้เป็นสมาชิกในกลุ่มของผู้ใช้ระบบหรือธุรกิจที่ตนวางระบบได้อีกด้วย การทำงานโดยทำให้ผู้ใช้ระบบรู้สึกเป็นกันเองกับนักวิเคราะห์ระบบจะทำให้การติดตั้งระบบงานเป็นไปโดยสะดวกขึ้น พร้อมกับลดแรงกดดันหรือต่อต้านจากผู้ใช้ระบบที่มีแนวความคิดว่า โดนยัดเยียดระบบงานใหม่ให้แทนระบบงานดั้งเดิม
7. ประสบการณ์เก่า ซึ่งไม่สมารถจะหลีกหนีความเป็นจริงไปได้ ว่าประสบการณ์มีความสำคัญต่อทุกสาขาอาชีพ นักวิเคราะห์ระบบก็เช่นเดียวกัน ประสบการณ์ที่ได้สั่งสมมาในระหว่างปฏิบัติงานทางด้านการพัฒนาระบบ จะเป็นการส่งเสริมให้ตัวนักวิเคราะห์ระบบก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงขึ้นเรื่อย ๆ

กีต้าร์ (กาตี้) 844 งุ๊งิ๊ๆ

จะยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่โน้ตบุ๊ค Windows 7 ให้นานที่สุดได้อย่างไร?

คอมพิวเตอร์ที่ใช้รัน Windows 7 ช่วยให้องค์กรประหยัดค่าไฟลงได้มากกว่า 1,200 (ประมาณ 40 เหรียญฯ) บาททต่อเครื่องต่อปี ซึ่งอานิสงฆ์นี้ยังส่งผลถึงการบริหารจัดการพลังงานบนโน้ตบุ๊คที่มีประสิทธิภาพขึ้นด้วย แต่ทั้งนี้ผู้ใช้จะต้องมีความเข้าใจพื้นฐานของระบบเสียก่อน จึงจะสามารถรีดพลังงานจากแบตเตอรี่โน้ตบุ๊คที่รัน Windows 7 ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

ทราบไหมว่า นอกจากส่วนแสดงผลของโน้ตบุ๊คที่สวาปามพลังงานไฟฟ้ามากกว่าเพื่อนแล้ว ยังมีอุปกรณ์ส่วนไหนของเครื่องอีกที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ไม่แพ้กัน โพรเซสเซอร์? Wi-Fi และ Bluetooth? หรือ ลำโพง? ผมว่าอย่าเดาดีกว่า กราฟวงกลมข้างล่างนี้จะทำให้คุณผู้อ่านได้ทราบความจริงว่า ในโน้ตบุ๊คหนึ่งเครื่องมีการใช้พลังงานไฟฟ้าที่ส่วนใดบ้างมากน้อยอย่างไร? เพื่อใช้เป็นพื้นฐานในการเลือกระบบจัดการพลังงานที่จะทำให้ใช้งานโน้ตบุ๊คจากแบตฯที่เหลืออยู่ได้นานที่สุดนั่นเอง

ในส่วนของ Windows Vista จะโดนวิจารณ์อย่างหนักพอสมควรสำหรับระบบจัดการพลังงานแบตเตอรี่ที่พบว่า มันยังหมดค่อนข้างเร็ว ด้วยเล็งเห็นถึงปัญหาดังกล่าว ทางไมโครซอฟท์จึงได้พยายามอย่างหนักในการพัฒนาประสิทธิภาพการจัดการพลังงานของแบตเตอรี่บนระบบปฏิบัติการ Windows 7 อย่างไรก็ตาม หากแบตเตอรี่ของโน้ตบุ๊คคุณเก่าเสียเหลือเกินยังไงๆ มันก็หมดเร็วไม่ต้องสงสัย และนั่นเป็นสัญญาณถึงเวลาซื้อแบตเตอรี่ก้อนใหม่ได้แล้ว แต่ถ้าแบตฯของคุณยังสุขภาพดีอยู่ ทิปเหล่านี้จะช่วยยืดอายุการใช้งานแบตฯได้

กลับมาดูที่ประเด็นหลักของทิปนี้ ซึ่งจะพูดถึงโน้ตบุ๊คที่รัน Windows 7 เป็นสำคัญ ก่อนอื่นต้องบอกว่า แผงควบคุมการจัดการพลังงานของ Windows 7 ทำออกมาได้ดีทีเดียว โดยมันเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งความสว่างของหน้าจอ และเลือกแผนการใช้พลังงานไว้ใช้ได้เลย โดยผู้ใช้สามารถเข้าถึงระบบการจัดการพลังงานของ Windows 7 ได้ด้วยการกดปุ่ม Windows+X ซึ่งที่นี่จะเปิดโอกาสให้คุณปรับเปลี่ยนได้ทุกอย่าง ตั้งแต่ ความสว่างไปจนถึงการกำหนดแผนการใช้พลังงาน ถ้าคุณต้องการตัวเลือกที่ละเอียดกว่า คุณก็สามารถคลิกที่ไอคอน Battery ใน System Tray บนTaskbar ของคุณ แล้วเลือก More power options

คราวนี้คุณผู้อ่านก็สามารถเปลียนแปลงการใช้พลังงานของโน้ตบุ๊คได้เมื่อต้องการแล้ว ไม่ว่าจะเป็นลดความสว่าง เมื่อไรถึงจะเข้า sleep mode หรือแม้แต่กำหนดความสว่างก่อนเสียบปลั๊ก และหลังเสียบปลั๊ก นอกจากการปรับลดแสงสว่างของหน้าจอ เพื่อประหยัดพลังงานแล้ว คุณผู้อ่านสามารถเข้าไปวางแผนการใช้พลังงานได้ที่change advanced power settings คุณจะสามารถเปลียนค่าการใช้พลังงานต่างๆ ได้อย่างละเอียดตั้งแต่ความเร็วของ processor (ช้าลงก็ใช้ไฟน้อยลง เอาไว้เลือกตอนที่แบตฯเหลือน้อยเต็มที) ระบบความเย็น (กรณีนั่งทำในห้องที่มีแอร์เย็นฉ่ำ) ตลอดจนการกำหนดการทำงานของปุ่ม Power

นอกจากลดการใช้พลังงานโดยอุปกรณ์ทีกินไฟหลักๆ อย่าง หน้าจอ ซีพียู ชิปเซต แล้ว ยังมี Wi-Fi ซึ่งหากไม่ได้เชื่อมต่อ แต่เปิดสวิทช์นี้ไว้ มันก็จะพยายามเสาะแสวงหาเน็ตเวิร์กตลอดเวลา เพื่อเชื่อมต่อกับเครือข่าย ซึ่งกินไฟไม่ใช่น้อย หากคุณกำลังพิมพ์งาน หรืออ่านอีบุ๊ค ปิดสวิทช์ Wi-Fi ไปซะจะดีกว่านะครับ ส่วนโปรแกรมที่ไม่ได้ใช้แต่นอนแช่อยู่ใน Taskbar ก็เปลืองพลังงานเหมือนกัน อันไหนไม่ใช้ปิดไปเถอะ ในกรณีที่เครื่องของคุณมี RAM น้อย และคุณต้องรันโปรแกรมอย่างน้อย 2-3 ตัวพร้อมกันอยู่เป็นประจำ ทำให้ต้องสลับการทำงานไปมา แน่นอนว่า ภาระส่วนหนึ่งจะตกไปอยู่ที่ฮาร์ดดิสก์ที่ต้องใช้ทำหน้าที่แทนหน่วยความจำ และลงท้ายด้วยการใช้พลังงานแบตฯทีมากโดยไม่ตั้งใจอยู่ดี กรณีนี้แนะนำว่า ลงทุนซื้อ RAM เพิมเถอะนะ คงจะพอหอมปากหอมคอนะครับ สำหรับทิปการประหยัดพลังงานแบตฯ โน้ตบุ๊ค Windows 7 หากให้แนะนำทุก Options คงหลายสิบหน้าแน่ๆ เลย ยังไงตอนปรับแต่งให้คอยสังเกตด้วยว่า Windows 7 รายงานเวลาใช้แบตเตอรี่ที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าไร? ขอให้สนุกกับ Windows 7 นะครับ

ที่มา : http://www.arip.co.th/tips.php?id=412463
พิเชฐ โพธิ์สุวรรณ (บิ๊กเอ็ม)


Symbian Anna

Symbian Anna จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานบน Nokia N8, Nokia C7, Nokia C6-01 และ Nokia E7 ด้วยระบบการใช้งานใหม่ๆ ได้แก่แป้นพิมพ์เต็มรูปแบบบนหน้าจอแนวตั้ง การมองเห็นบทสนทนาต่อเนื่อง (split-screen) แผนที่โนเกียที่ดีขึ้น การท่องอินเตอร์เน็ตที่รวดเร็วขึ้น ระบบความปลอดภัยที่แข็งแกร่งขึ้น และอื่นๆ อีกมากมายที่จะทำให้คุณสนุกกับการใช้งานมากยิ่งขึ้น Symbian Anna สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีแล้ววันนี้ผ่านOvi Suite 3.1.1 บนคอมพิวเตอร์หรือ ดาวน์โหลดตรงสู่สมาร์ทโฟนผ่านเครือข่ายการสื่อสารไร้สาย (Over-the-air) และตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม 2554 เป็นต้นไปสามารถรับบริการดาวน์โหลดฟรีได้ที่โนเกีย ช็อป และโนเกีย แคร์ทั่วประเทศ

"สมาร์ทโฟน Symbian ของโนเกียสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและมีหลากหลายราคาให้เลือก จึงมีผู้ใช้งานสมาร์ทโฟน Symbian ทั่วโลกหลายล้านคนต่อวัน" มร. แกรนท์ แม็คบีธ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โนเกีย (ประเทศไทย) จำกัดกล่าวและเสริมว่า "Symbian Anna เป็นการปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานครั้งสำคัญเพื่อแสดงให้เห็นว่าเรายังคง สนับสนุนแพลทฟอร์ม Symbian อย่างต่อเนื่อง และจะมีสมาร์ทโฟน Symbian รุ่นใหม่มากถึง10 รุ่นเข้าสู่ตลาดในอีก 12 เดือนข้างหน้าซึ่งโนเกียจะยังคงพัฒนาซอฟต์แวร์และรองรับผู้ใช้งานจนกระทั่ง ปี 2016"

คุณสมบัติหลักของ Symbian Anna

User Interface: Symbian Anna นำประสบการณ์การใช้งานใหม่ๆ มาสู่ Nokia N8, Nokia C7, Nokia C6-01 และ Nokia E7 ด้วยไอคอนรูปแบบใหม่ที่โดดเด่น และปรับปรุงการใช้งานในหลายด้าน การพิมพ์บนหน้าจอระบบสัมผัสทำได้ง่ายขึ้นด้วย split screen ซึ่งจะทำให้มองเห็นบทสนทนาต่อเนื่องทั้งหมด รวมถึงเว็บเพจ รายชื่อผู้ติดต่อ และอีเมล์ขณะที่พิมพ์บนแป้นพิมพ์เต็มรูปแบบซึ่งสามารถใช้งานบนหน้าจอแนวตั้ง ได้ด้วย

แผนที่และระบบนำทาง:Symbian Anna ช่วยให้แผนที่โนเกียทำงานได้ดีขึ้นด้วยระบบการค้นหาที่ทรงประสิทธิภาพมาก ยิ่งขึ้น มาพร้อมข้อมูลระบบขนส่งมวลชน และสามารถ ‘เช็ค-อิน’เครือข่ายสังคมออนไลน์อย่าง Facebook, Foursquare และ Twitter ได้

เว็บเบราซ์เบราเซอร์ที่รวดเร็ว ใช้งานง่ายขึ้นช่วยให้โหลดหน้าเพจได้เร็วขึ้น และค้นหาเว็บได้ดีขึ้นทำให้ผู้คนสามารถเชื่อมต่อไปยังเว็บโปรดได้ง่ายขึ้น แม้ในขณะเดินทาง

การใช้งานด้านธุรกิจที่ดีขึ้นSymbian Anna รองรับระบบความปลอดภัยมาตรฐานองค์กร ด้วยการเข้ารหัสข้อมูลบนสมาร์ทโฟนโนเกียที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ผู้ใช้งาน Nokia N8, Nokia C7, Nokia C6-01 หรือ Nokia E7 สามารถเข้าถึงระบบอินทราเน็ตของบริษัทได้ง่ายขึ้นและปลอดภัยขึ้นด้วย IPSEC และ SSL VPN

NFC (Near Field Communications) ซอฟต์แวร์ Symbian Anna จะเปิดชิพ NFC ใน Nokia C7 ให้ทำงาน เพียงแตะ Nokia C7 เข้าด้วยกัน คุณก็สามารถแบ่งปันข้อมูล รูปภาพ วิดีโอ และเล่นเกมส์ หรือเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมNFC เพื่อใช้งานตลอดจนอ่านป้ายที่ติดชิพNFC เพื่อเช็คอิน หรือรับข้อมูลต่างๆ

หมายเหตุบรรณาธิการ

ฟีเจอร์หลักของ Symbian Anna
- Virtual Qwerty แป้นพิมพ์เต็มรูปแบบบนหน้าจอแนวตั้ง ช่วยให้ผู้ถนัดพิมพ์ด้วยมือเดียวพิมพ์ได้เร็วขึ้น
- Split Screenการมองเห็นข้อความจากหลายหน้าจอพร้อมกันขณะพิมพ์ ทำให้คุณเห็นบทสนทนาต่อเนื่องทั้งหมด เว็บเพจ รายชื่อผู้ติดต่อ หรืออีเมล์
- Browser ที่ใช้ง่ายและเร็วขึ้น ทำให้การโหลดหน้าเพจทำได้เร็วขึ้น และค้นหาเว็บได้ดีขึ้น
- แผนที่โนเกียปรับปรุงใหม่ ช่วยให้การค้นหาง่ายขึ้น มาพร้อมข้อมูลระบบขนส่งมวลชน และสามารถเช็คอิน Facebook Twitter Foursquare หรือเครือข่ายสังคมอื่นๆ
- สามารถแบ่งปันสถานที่ผ่านอีเมล์หรือ SMS (สามารถแบ่งปันให้กับเครื่องอื่นๆ ที่ไม่ใช่โนเกียได้)

ฟีเจอร์สำหรับผู้ใช้งานธุรกิจ
- Chat และบอกสถานะด้วย Microsoft Communicator Mobile
- การใช้งานใหม่ๆผ่านอีเมล์ อาทิ รองรับการนัดหมายการประชุม
- ระบบความปลอดภัยมาตรฐานองค์กรด้วยการเข้ารหัสฮาร์ดแวร์
- เข้าสู่อินทราเน็ตของบริษัทได้ง่ายและปลอดภัย

ฟีเจอร์สำหรับนักพัฒนา
- Flashlite 4
- Java Runtime 2.2
- Qt Mobility 1.1
- Qt 4.7

ที่มา : http://www.mxphone.com/news/10846/Symbian-Anna

นายต้น เหรียญรุ่งเรือง (ต้น )

วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ลักษณะองค์กรที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO9001

มาดูคุณลัึกษณะขององค์กร ในแต่ละดับกันค่ะเพื่อนๆ

ระดับที่ 1. ปล่อยปละละเลยต่อปัญหา

เป็นองค์กรที่พบเห็นปัญหาหรือสภาพที่ไม่พึงประสงค์ เช่น ของเสีย ทำงานผิดพลาด เครื่องจักรบกพร่อง พื้นสกปรก สูญ เปล่าแรงงาน พลังงาน ฯลฯ แต่ทำเป็นไม่เห็น หรือ ไม่รู้สึกทุกข์ร้อน หรือ ไม่ตอบสนองที่จะแก้ไข

ระดับที่ 2. ตอบสนองเมื่อเกิดปัญหา

ใส่ใจต่อปัญหาหรือสภาพที่ไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้น เป็นครั้งๆ แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้ลุล่วงไปได้ อย่างมีประสิทธิผล ปัญหาที่แก้ไขได้มักเป็นเรื่องเล็กๆ และเป็นส่วนน้อย

ระดับที่ 3. แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นครั้งๆ

ใส่ใจต่อปัญหาหรือสภาพที่ไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้น และสามารถแก้ไขปัญหาส่วนใหญ่ให้ลุล่วงไปได้ แต่ขาดความสามารถในการกำหนดมาตรการป้องกันการ เกิดซ้ำ ทำให้ปัญหาต่างๆเหล่านั้นเกิดขึ้นซ้ำซากและ เรื้อรัง

ระดับ4. ป้องกันปัญหามิให้เกิดซ้ำ

มีระบบในการเปิดรับหรือค้นพบปัญหาที่ดี มี กระบวนการค้นหาสาเหตุและคิดค้นมาตรการที่ สามารถป้องกันมิให้ปัญหาเกิดซ้ำได้เป็นส่วนใหญ่ มาตรฐานการปฏิบัติงานได้รับการปรับปรุงอย่าง ต่อเนื่องและสามารถป้องกันปัญหาได้

ระดับ5. วางแผนเพื่อคุณภาพที่ดีกว่า

กระบวนการปฏิบัติงานได้รับการปรับปรุง โดยผ่านกระบวนการออกแบบใหม่ - นำไปปฏิบัติ- ทบทวนอยู่เสมอ จนทำให้สามารถทำนายระดับ คุณภาพของผลการทำงานที่ส่งมอบให้กระบวนงาน ถัดไปหรือลูกค้าได้ค่อนข้างแม่นยำ พนักงานทำงาน เป็นทีมและเรียนรู้ร่วมกันโดยยึดถือกระบวนการเป็น ศูนย์กลาง

ระดับ6. วางแผนเพื่อเพิ่มความสามารถแข่งขัน

กระบวนการปฏิบัติงานได้รับการปรับปรุง อย่างต่อเนื่องอันเป็นผลจากการเรียนรู้ในระดับองค์กร คุณภาพ ต้นทุน และ รอบเวลาของ กระบวนการ ได้รับการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องจนถึง ระดับเป็นผู้นำหน้าในธุรกิจ

ระดับ7. วางแผนเพื่ออนาคตที่ไม่รู้จบ

สามารถคาดการณ์ความต้องการของ ตลาดได้แม่นยำ นำมาสร้างสรรค์คุณค่าใหม่ๆให้แก่ ลูกค้า ด้วยการพัฒนา - ผลิต- ส่งมอบสินค้าและบริการ ที่มีนวัตกรรมเหนือความคาดหวังของลูกค้า เป็นผู้นำ และเป็นต้นแบบให้แก่บริษัทอื่นๆ

วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2554

หลักของการ Design Input

แม้ว่าโดยทั่วไป นักวิเคราะห์ระบบจะเน้นหนักถึงความสำคัญของเอาต์พุตมาก เนื่องเพราะเอาต์พุตของระบบงานถือว่าเป็นผลลัพธ์อันสำคัญในอันที่จะตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ระบบ

อย่างไรก็ดี สิ่งหนึ่งที่นักวิเคราะห์ระบบจะลืมเสียไม่ได้ก็คือ หากอินพุตที่เข้ามาใน ระบบไม่ดีเพียงพอหรือเกิดความผิดพลาดได้ง่าย ย่อมต้องส่งผลทำให้เอาต์พุตที่ได้ออกมาจากระบบพลอยเสียหายไปด้วย ดังนั้น การดีไซน์อินพุตที่ดีจึงเป็นสิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งที่จะทำให้ระบบงานคอมพิวเตอร์มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

การดีไซน์แบบฟอร์มสำหรับกรอกข้อมูลที่เป็นอินพุต
แม้ว่าโดยทั่วไปธุรกิจจะได้มีการดีไซน์แบบฟอร์มของธุรกิจไว้เพื่อใช้ปฏิบัติงานอยู่แล้ว นักวิเคราะห์ระบบก็ควรจะมีความสามารถทางด้านนี้ด้วยไม่แพ้กัน นอกจากนี้นักวิเคราะห์ระบบจะต้องสามารถรู้ด้วยตนเองว่า แบบฟอร์มแบบไหนที่ยังไม่ดีเพียงพอและจะต้องปรับปรุง และแบบฟอร์มแบบไหนที่ควรจะยกเลิกหรือยุบมารวมกัน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

แบบฟอร์มต่างๆ ที่ใช้อยู่ในธุรกิจ เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่จะทำให้ธุรกิจดำเนินต่อไป ซึ่งแบบฟอร์มเหล่านี้ โดยปกติมักจะถูกดีไซน์และตีพิมพ์ออกมาไว้ก่อน เมื่อต้องการจะใช้ ผู้ใช้ก็จะเขียนข้อความอันเป็นข้อมูลลงในแบบฟอร์มเป็นเบื้องต้น ซึ่งต่อจากนั้น แบบฟอร์มต่างๆ จึงค่อยถูกนำมาบันทึกลงในระบบคอมพิวเตอร์ ในลักษณะที่ธุรกิจดำเนินการด้วยระบบงานคอมพิวเตอร์ แบบฟอร์มต่างๆ โดยส่วนใหญ ่จึงถือเป็นต้นกำเนิดของข้อมูลที่จะนำมากรอกเข้าสู่ระบบงานโดยพนักงานคีย์ข้อมูล (Data Entry Personnel)

หลักสำคัญที่ใช้ในการดีไซน์แบบฟอร์ม มีอยู่ด้วยกัน 4 หัวข้อ คือ
1. แบบฟอร์มควรมีลักษณะที่ง่ายต่อการกรอก
จะทำให้ลดข้อผิดพลาดในการกรอกข้อมูล และในขณะเดียวกันก็ลดเวลาในการกรอกลงไปด้วย นักวิเคราะห์ไม่ควรลืมว่าต้นทุนของกระดาษนั้นถูกกว่าค่าแรงของผู้ใช้ที่เสียไปในการกรอกข้อมูล หรือที่เสียไปในการนำแบบฟอร์มไปบันทึกเข้าในระบบคอมพิวเตอร์มากนัก

การดีไซน์แบบฟอร์มที่ดีจะต้องคำนึงถึงลำดับในการกรอกข้อมูลให้คล้องจองกับความเป็นจริง ตัวอย่างเช่น แบบฟอร์มกำหนดให้พนักงานกรอกชื่อเป็นอันดับที่ 1 และนามสกุลเป็นอันดับที่ 2 หรือการกรอกวันที่ ให้กรอกวันก่อนแล้วมากรอกเดือน และท้ายสุดก็คือ ปี พ.ศ. อย่างนี้ก็ถือว่าลำดับในการกรอกข้อมูล ได้คล้องจองไปกับมาตรฐานที่ใช้กันโดยทั่วไป ในทางตรงข้าม หากเราสลับตำแหน่งให้พนักงานกรอกนามสกุลก่อนแล้ว ค่อยกรอกชื่อหรือกรอกปีก่อน แล้วค่อยกรอกเดือนหรือวันตามลำดับ แบบนี้เราคนไทยที่จะกรอกฟอร์มนี้ก็คงสับสนและมีการกรอกผิดพลาดกันแน่ๆ

2. แบบฟอร์มต้องตรงกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการ แบบฟอร์มที่ได้ถูกดีไซน์ขึ้นมานั้นจะมีวัตถุประสงค์ของมันด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งบางแบบฟอร์มอาจจะต้องถูกสำเนาและกระจายส่งผ่านไปยังแผนกต่างๆ อีกหลายแผนก ดังนั้น ก่อนที่จะทำการดีไซน์แบบฟอร์มใดๆ นักวิเคราะห์ระบบ หรือผู้ที่จะดีไซน์แบบฟอร์ม จะต้องคำนึงถึงวัตถุประสงค์ของแบบฟอร์มนั้นเสียก่อนว่ามีขึ้นเพื่อประโยชน์อันใด และจะต้องมีข้อมูลอะไรบ้างที่จะต้องถูกบันทึกลงไป เอกสารจะถูกกระจายไปยังหน่วยงานไหนบ้าง และหน่วยงานนั้นจะเอาข้อมูลในส่วนไหนไปทำอะไร เป็นต้น

ตัวอย่างเช่น ใบกำกับภาษี ซึ่งอาจจะต้องประกอบไปด้วยสำเนาหลายฉบับกระจายออกไปยังหน่วยงานต่างๆ เช่น คลังสินค้า เพื่อใช้ในการตัดสต๊อก หรือแผนกขนส่งเพื่อนำสินค้าไปส่งให้ลูกค้าได้ถูกต้อง แผนกบัญชีเพื่อใช้บันทึกเป็นภาษีขาย และฝ่ายการเงินเพื่อนำไปใช้เรียกเก็บเงินในภายหลังจากการที่มีการทำสำเนา แต่ละฉบับไปยังหน่วยงานที่มีจุดประสงค์ไม่เหมือนกัน สำเนาแบบฟอร์มใบกำกับภาษีอาจจะต้องให้มีการบันทึกรายละเอียดไม่เหมือนกัน เช่น ใบที่ส่งไปให้กับฝ่ายการเงินเพื่อจะนำไปเรียกเก็บเงิน อาจจะมีช่อง "ชื่อผู้เก็บเงิน" ในขณะที่ใบที่อยู่กับแผนกขนส่ง อาจจะมีช่อง "ชื่อพนักงานขับรถ" หรือใบที่อยู่กับสต๊อกอาจมีช่อง "ชื่อผู้เบิกสินค้า" แทน เป็นต้น

3. แบบฟอร์มควรมีการดีไซน์ให้ตรวจสอบความถูกต้องได้ ในการบันทึกข้อมูลนั้น อัตราการเกิดข้อผิดพลาดจะขึ้นอยู่กับการดีไซน์แบบฟอร์มด้วย หากแบบฟอร์มได้รับการดีไซน์ที่ดี โอกาสที่จะเกิดข้อผิดพลาดก็ลดลง การดีไซน์แบบฟอร์มจึงควรที่จะให้ความสำคัญในอันที่จะทำให้ผู้ใช้แบบฟอร์มสามารถกรอกข้อมูล ได้อย่างถูกต้องและสะดวกที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ว่าผู้ใช้แบบฟอร์มจะมีโอกาสใช้แบบฟอร์มนั้นแค่ครั้งเดียวหรืออาจจะเป็น 1,000 ครั้งก็ตาม

4. แบบฟอร์มควรดีไซน์ให้มีลักษณะที่ดึงดูดต่อผู้ใช้ การดีไซน์แบบฟอร์มให้เป็นที่ดึงดูดใจต่อผู้ใช้นั้นอาจถือเป็นงานศิลปะอย่างหนึ่ง แต่ก็มีความสำคัญในตัวของมันเองอยู่ เป็นหลักจิตวิทยาอย่างหนึ่งที่เราไม่สามารถจะโต้เถียงได้ว่า หากแบบฟอร์มมีจุดดึงดูดแล้ว มันมักจะช่วยให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลที่เราต้องการได้ดีขึ้น และผู้กรอกก็จะรู้สึกพอใจที่จะกรอกมากขึ้น

หลักการในการออกแบบฟอร์มนี้ เราจะต้องเน้นในเรื่องของความเป็นระเบียบของแบบฟอร์ม โดยจัดให้ข้อมูลที่ควรจะอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มๆ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องและง่ายต่อการกรอก บรรทัดและช่องว่างระหว่างบรรทัดจะต้องกว้างเพียงพอที่จะกรอก ในแบบฟอร์มอาจจะใช้ตัวอักษรที่มีขนาดแตกต่างกัน เพื่อให้สามารถจะเน้นจุดต่างๆ ได้ การใช้กรอบตารางและความหนาของตัวอักษรและเส้นต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นเทคนิคที่จะช่วยดึงดูดความสนใจจากผู้ใช้แบบฟอร์มได้เป็นอย่างดี

การดีไซน์อินพุตทางจอภาพ
หลักเกณฑ์ที่เราจะทำการดีไซน์อินพุตทางจอภาพนั้นไม่ได้แตกต่างกับการดีไซน์เอาต์พุตทางจอภาพแต่อย่างไร ซึ่งจะใช้หลักเกณฑ์สำคัญ 4 ข้อในการดีไซน์เช่นกัน คือ

1. พยายามให้การแสดงข้อมูลบนจอภาพดูเรียบง่ายไม่ซับซ้อน ก่อนที่จะทำการดีไซน์จอภาพ นักวิเคราะห์ระบบควรจะเข้าใจลักษณะพื้นฐานโดยทั่วไปของการจัดวางข้อมูลบนจอภาพเสียก่อน โดยพื้นที่ที่ใช้แสดงข้อมูลบนจอภาพ จะถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วนด้วยกัน คือ

พื้นที่ส่วนหัวของจอภาพ (Heading) โดยส่วนใหญ่จะเป็นส่วนที่แสดงข้อมูลให้ผู้ใช้ระบบ ได้รับทราบว่ากำลังทำงานอยู่ในระบบงานอะไร เช่น ระบบงานสินค้าคงคลัง ระบบงานบัญชี ฯลฯ

นอกจากนี้ ในปัจจุบันการออกแบบระบบงานแบบพูลดาวน์เมนูกำลังเป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยตัวเมนูก็จะแสดงอยู่ในส่วนหัวของจอภาพด้านบน ผู้ใช้สามารถเลือกเมนูได้โดยการเลื่อนเคอร์เซอร์หรือ Light Bar ไปที่เมนูที่ต้องการแล้วกด (Enter) หรือในกรณีที่ผู้ใช้เกิดความชำนาญอาจจะใช้การคีย์ตัวอักษรของเมนูนั้น เพื่อเลือกเมนูก็ทำได้เช่นกัน ตัวอย่างซอฟต์แวร์ที่ใช้ระบบพูลดาวน์เมนู ได้แก่ CU-Writer ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย IRC Standard Word และ Quatro Pro

พื้นที่ส่วนกลางของจอภาพ (Body) โดยทั่วไปพื้นที่ส่วนนี้จะใช้แสดงรายละเอียดของข้อมูลหรือหัวข้อต่างๆ ที่ผู้ใช้ระบบจะต้องทราบเพื่ออินพุตข้อมูลลงไปให้ถูกตำแหน่ง เทคนิคของการดีไซน์ในส่วนนี้ยังคงใช้ตามแบบมาตรฐาน คือพยายามให้ผู้ใช้ระบบอินพุตหรือกรอกข้อมูลลงในลักษณะจากบนลงล่างหรือจากซ้ายไปขวา

พื้นที่ส่วนล่างของจอภาพ (Ending) โดยทั่วไปพื้นที่ส่วนนี้จะใช้ประโยชน์ในด้านของการบอกให้ผู้ใช้ทราบถึงคำสั่งต่างๆ ที่ระบบงานกำหนดให้ผู้ใช้สามารถกระทำได้ เช่น กด (F1) เพื่อเรียกคำช่วยอธิบายวิธีการใช้ระบบ (Help-Text Sensitivity) หรือกด (F8) เพื่อเก็บข้อมูล (Save)

ในปัจจุบัน เทคโนโลยีทางด้านซอฟต์แวร์ได้รับการพัฒนาไปอย่างมาก โดยเฉพาะแนวทางที่จะพยายามให้ระบบงานหรือซอฟต์แวร์มีความเป็นมิตรกับผู้ใช้ระบบ (User Friendly) ให้มากที่สุด เช่น ระบบ Graphical User Interface (GUI) ที่ใช้รูปภาพหรือไอคอน (Icon) แทนคำสั่ง โดยผู้ใช้อาจใช้เมาส์ (Mouse) แทนคีย์บอรืด (Keyboard) ในการปฏิบัติงานก็ได้

นอกจากนี้ ก็ยังมีเทคนิคประเภทอื่นที่ยังคงนิยมกันมากก็คือ การใช้เทคนิคของการซ้อนกันของหน้าต่าง (Overlay Windows หรือ Pop-Up Windows) บนจอภาพก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้ระบบงานดูง่าย และเป็นที่ดึงดูดต่อผู้ใช้ด้วย

2. พยายามให้การแสดงผลบนจอภาพมีมาตรฐานแบบเดียวกัน เพื่อให้ผู้ใช้เกิดความคุ้นเคยได้เร็ว การทำให้จอภาพมีมาตรฐานนั้นนอกจากจะทำให้ผู้ใช้สามารถเรียนรู้ได้เร็วแล้ว ยังทำให้ลดข้อผิดพลาดลงได้อย่างมากอีกด้วย หากผู้ใช้ระบบจะต้องใช้เอกสารในการกรอกข้อมูลลงบนจอภาพแล้ว นักวิเคราะห์ระบบก็ควรจะดีไซน์จอภาพให้คล้องจองกันกับเอกสารที่ผู้ใช้ระบบจะต้องใช้ในการกรอกด้วย

การแสดงผลจะมีมาตรฐานได้ก็ด้วยวิธีการง่ายๆ คือ ตำแหน่งของข้อมูลควรจะปรากฏอยู่ในที่เดียวกันทุกครั้ง หากว่าข้อมูลนั้นเป็นข้อมูลอันเดียวกัน รวมทั้งข้อมูลไหนที่ควรจะอยู่ด้วยกันก็ควรจะจัดแบ่งออกให้เป็นกลุ่มๆ อย่างชัดเจน

3. สำหรับข้อมูลบางอย่างที่ต้องการจะเน้นให้เห็นถึงความแตกต่าง ให้ใช้สีที่แตกต่างออกไปจากปกติเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ใช้ ในปัจจุบันจอสีกำกับเป็นที่นิยมใช้กันมากขึ้นทุกขณะ และมีแนวโน้ม ที่จะมาครองตลาดแทนจอภาพแบบขาวดำหรือโมโนโครม สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เนื่องมาจากจอภาพสีสามารถทำให้ระบบงานคอมพิวเตอร์ มีความดึงดูดมากขึ้นด้วยสีสันที่แตกต่าง ความละเอียดของภาพที่ได้ก็ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด การแสดงผลทางกราฟฟิกในแบบต่างๆ ก็ทำได้โดยสะดวกและชัดเจนกว่าซอฟต์แวร์ในตลาด ก็เริ่มปรับตัวให้ใช้กับจอภาพแบบสีกันอย่างมากมาย ดังนั้น ความสำคัญของการใช้สีจึงเป็นอีกจุดหนึ่งที่นักวิเคราะห์ระบบควรจะให้ความสำคัญด้วย

การเลือกใช้สีควรจะใช้ให้เหมาะสมด้วย เช่น พื้นสีแดง โดยทั่วไปมักจะใช้ในการบอกถึงอันตรายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในระบบงานคอมพิวเตอร์ พื้นสีน้ำเงินจะใช้ในการแสดงผลทางปกติ พื้นสีเขียวอาจใช้ในการแสดงข้อมูลความช่วยเหลือแบบต่างๆ ดังนั้นในซอฟต์แวร์หรือในระบบงานหนึ่งหากใช้สีปนเปกันไป โดยไม่คำนึงถึงความหมายของแต่ละสีแล้ว ก็อาจจะทำให้ผู้ใช้ระบบเกิดความสับสนและจะก่อให้เกิดผลเสียหายตามมาในภายหลังได้เช่นกัน

4. ให้การโต้ตอบระหว่างผู้ใช้ระบบกับจอภาพเป็นไปโดยธรรมชาติมากที่สุด เช่น การเลื่อนเคอร์เซอร์ (Cursor Movement) ควรจะเลื่อนจากบนลงล่างหรือจากซ้ายมาขวา ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติและมาตรฐานสากล


กัญจน์ ชาญสิทธิโชค 51040823

phpMyAdmin คืออะไร?




ทำความเข้าใจกับคำว่า phpMyAdmin

ถ้าเราจะใช้ฐานข้อมูลที่เป็น MySQL บางครั้งจะมีความลำบากและยุ่งยากในการใช้งาน ดังนั้นจึงมีเครื่องมือในการจัดการฐานข้อมูล MySQL ขึ้นมาเพื่อให้สามารถจัดการ ตัว DBMS ที่เป็น MySQL ได้ง่ายและสดวกยิ่งขึ้น โดย phpMyAdmin ก็ถือเป็นเครื่องมือชนิดหนึ่งในการจัดการนั้นเอง

phpMyAdmin เป็นส่วนต่อประสานที่สร้างโดยภาษาพีเอชพี ซึ่งใช้จัดการฐานข้อมูล MySQL ผ่านเว็บเบราว์เซอร์ โดยสามารถที่จะทำการสร้างฐานข้อมูลใหม่ หรือทำการสร้าง TABLE ใหม่ๆ และยังมี function ที่ใช้สำหรับการทดสอบการ query ข้อมูลด้วยภาษา SQL พร้อมกันนั้น ยังสามารถทำการ insert delete update หรือแม้กระทั่งใช้ คำสั่งต่างๆ เหมือนกับกันการใช้ภาษา SQL ในการสร้างตารางข้อมูล

ในส่วนของการแสดงผลหน้าแรกเมื่อเข้าสู่หน้า แสดงผล phpMyAdmin จะแสดงรุ่นของ phpMyAdmin ที่ใช้งานอยู่ พร้อมทั้งสามารถที่จะจัดการกับรหัสอักขระที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ฝั่ง เมนูด้านซ้ายจะแสดงข้อมูลของฐานข้อมูลปัจจุบัน (DATABASE NAME) และเมื่อทำการเลือกแล้วจะแสดงโครงสร้างของ ตารางข้อมูล

phpMyAdmin เป็นโปรแกรมประเภท MySQL Client ตัวหนึ่งที่ใช้ในการจัดการข้อมูล MySQL ผ่าน Web Browser ได้โดยตรง phpMyAdmin ตัวนี้จะทำงานบน Web Server เป็น PHP Application ที่ใช้ควบคุมจัดการ MySQL Server ความสามารถของ phpMyAdmin คือ

1. สร้างและลบ Database

2. สร้างและจัดการ Table เช่น แทรก record, ลบ record, แก้ไข record, ลบ Table, แก้ไข field

3. โหลดเท็กซ์ไฟล์เข้าไปเก็บเป็นข้อมูลในตารางได้

4. หาผลสรุป (Query) ด้วยคำสั่ง SQL

รัตน์ชนันท์ ถาวรศักดิ์สุธี(โบว์ลิ่ง)