วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2554

Steve jobs ได้ไปกล่าวปาฐกถาเนื่องในพิธีสำเร็จการศึกษาของนักศึกษามหาวิทยาลัย Stanford เมื่อวันที่12 มิ.ย. 48

ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับเชิญให้มากล่าวปาฐกถาปัจฉิมนิเทศแก่นักศึกษาใหม่ของมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในโลก

ผมไม่เคยสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัย และ ต้องบอกความจริงว่า นี่คือโอกาสที่ผมจะเข้าใกล้พิธีสำเร็จการศึกษามากที่สุด

วันนี้ผมต้องการเล่าเรื่อง 3 เรื่องจากชีวิตของผม มันไม่ใช่อะไรใหญ่โต แค่ 3 เรื่อง

การเชื่อมต่อจุด

เรื่องแรกเกี่ยวกับ “การเชื่อมต่อจุดต่างๆ” ผมออกจาก Reed College หลังจากเข้าเรียนได้ 6 เดือน

แต่ยังวนเวียนอยู่ในฐานะ Drop In อีก 18 เดือน ก่อนที่จะเลิกเรียนไปจริงๆ

ทำไมผมจึงลาออกมา?

ทุกอย่างเริ่มต้นก่อนผมเกิด

แม่ (ผู้ให้กำเนิด) ของผมเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยที่ไม่ได้แต่งงาน ยังอายุน้อย และเธอตัดสินใจจะมอบผมให้คนอื่นเลี้ยงดูแทน เธอรู้สึกอย่างแรงกล้าว่าผมควรถูกเลี้ยงโดยคนที่จบมหาวิทยาลัย ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างได้ถูกตระเตรียมไว้ ให้ผมถูกรับเลี้ยงโดยนักกฎหมายและภรรยาของเขา

แต่เมื่อคลอดออกมา พวกเขาตัดสินใจในวินาทีสุดท้ายว่าต้องการเด็กผู้หญิง ดังนั้น พ่อแม่บุญธรรมของผม ซึ่งอยู่ในรายชื่อสำหรองได้รับโทรศัพท์กลางดึกเพื่อถามว่า “พวกเราได้เด็กผู้ชายอย่างไม่คาดคิด … คุณต้องการเขาไหม?”

“แน่นอน” พวกเขาตอบ

ในเวลาต่อมา แม่ผู้ให้กำเนิดได้พบว่าแม่ที่เลี้ยงผมมานั้นไม่เคยจบมหาวิทยาลัย และพ่อของผมก็ไม่จบ ไฮสคูล เธอจึงปฏิเสธที่จะเซ็นเอกสารให้เลี้ยงดู (Final Adoption Paper) เธอลังเลอยู่เดือนสองเดือน ก่อนจะยินยอม หลังจากที่พ่อแม่บุญธรรมให้คำมั่นสัญญาว่าสักวันผมจะได้เรียนมหาวิทยาลัย

17 ปีหลังจากนั้น ผมก็ได้เข้ามหาวิทยาลัยจริงๆ

ด้วยความไร้เดียงสา ผมเลือกมหาวิทยาลัยที่ค่าเทอมแพงมากเกือบเท่า Stanford และเงินออมทั้งหมดของพ่อแม่ผม ซึ่งเป็นชนชั้นกรรมาชีพ (working class) ได้ถูกจ่ายเป็นค่าเทอม

6 เดือนผ่านไป ผมไม่สามารถเห็นคุณค่าของการเรียนในมหาวิทยาลัย

ผมไม่รู้เลยว่า ผมต้องการทำอะไรในชีวิต …

และก็ไม่เห็นแววว่า มหาวิทยาลัยจะให้คำตอบใดๆ กับผมได้

การเรียนมหา’ลัยยังดูดเงินที่พ่อแม่ผมสะสมมาชั่วชีวิตจนเกลี้ยง

ดังนั้น ผมจึงตัดสินใจเลิกเรียน และเชื่อมั่นว่าทุกอย่างจะดีขึ้น

ช่วงเวลานั้นน่ากลัวมาก แต่เมื่อมองย้อนกลับไปมันเป็นหนึ่งในการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตผม

นาทีที่ผมลาออกแล้ว ผมสามารถหยุดการเข้าเรียนในวิชาบังคับที่ไม่น่าสนใจ และเริ่มเข้าเรียนในสิ่งที่น่าดึงดูดมากกว่า

นี่ไม่ใช่เรื่องโรแมนติกเลย

ผมไม่มีห้องในหอพัก ก็เลยอาศัยนอนที่พื้นห้องของมิตรสหาย ผมเก็บเอาขวดโค้กไปแลกคืน ได้เงินขวดละ 5 เซนต์เพื่อซื้ออาหาร และผมจะเดินเท้าระยะทางกว่า 7 ไมล์ข้ามเมืองทุกๆ คืนวันอาทิตย์เพื่อไปทานอาหารดีๆ สักมื้อหนึ่งที่วัด Hare Krishna

ผมรักชีวิตแบบนี้ และ สิ่งที่ผมเข้าไปสัมผัส (อย่างบังเอิญ) โดยการทำตามลางสังหรณ์และความกระหายใคร่รู้ ได้ปรากฏชัดว่าเป็นสิ่งอันมีค่า มีราคามหาศาลในภายหลัง

ผมจะยกตัวอย่างสักเรื่อง …

ในเวลานั้น Reed College มีการสอน “เขียนและประดิษฐ์ตัวอักษร” (Calligraphy) ที่อาจดีที่สุดในอเมริกา

โปสเตอร์ทุกใบ ฉลากทุกอัน หรือภาพเขียนทุกรูปที่พบเห็นได้ทั่วทั้งมหาวิทยาลัย ล้วนแต่มีตัวอักษรที่ถูกบรรจงเขียนขึ้นด้วยมืออย่างวิจิตรพิสดาร

เมื่อผมได้ลาออก และไม่จำเป็นต้องเข้าชั้นเรียนปกติ ผมจึงตัดสินใจไปลงเรียนวิชา Calligraphy เพื่อเรียนรู้วิธีการทำมันบ้าง

… ผมได้เรียนรู้แบบอักษร (Typefaces) Serif และ San Serif

…ได้เรียนการกำหนดระยะห่างระหว่างตัวอักษรต่างๆ ที่นำมาผสมกัน

ได้เรียนรู้ว่าอะไรที่ทำให้ Typography ยอดเยี่ยม

มันเป็นความงดงาม มีปูมหลังทางประวัติศาสตร์ และ ละเอียดอ่อนอย่างมีศิลปะ ในวิถีทางที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถทัดเทียม รู้ตัวอีกที ผมก็หลงใหลไปเสียแล้ว

ไม่มีตรงไหนเลยของสิ่งเหล่านี้ที่หวังว่าจะนำมาประยุกต์เชิงปฏิบัติเพื่อ ใช้กับชีวิตได้ แต่สิบปีต่อมา ขณะที่เรากำลังออกแบบคอมพิวเตอร์ Macintosh เครื่องแรก

ทุกสิ่งทุกอย่างก็ฟื้นคืนกลับมาหาผม

และเราได้ออกแบบทั้งหมดของสิ่งเหล่านั้นลงไปในเครื่อง Mac

มันเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่มีแบบอักษรที่งดงาม (Beautiful Typography)

ถ้าผมไม่เคยเข้าคลาสประดิษฐ์ตัวอักษรในมหาวิทยาลัย Mac ก็จะไม่มีตัวอักษรหลายแบบให้เลือก

และ เนื่องจาก Windows นั้นลอกแบบ Mac …

ก็เป็นไปได้มากว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลทั่วไปก็จะไม่มี Font สวยๆ ด้วย สรุปคือ ถ้าผมไม่เคยลาออก ผมก็จะไม่เคยเข้าคลาส Calligraphy และเครื่องพีซีก็จะไม่มี Typography ที่แสนวิเศษอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

แน่นอน มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเชื่อมต่อจุดต่างๆ โดยมองไปข้างหน้า (ตั้งแต่สมัยที่ผมยังเรียนอยู่) แต่มันชัดเจนมากๆ เมื่อมองกลับหลังไป (ในอีกสิบปีถัดมา)

พูดย้ำอีกครั้ง

คุณไม่สามารถเชื่อมต่อจุดโดยมองไปในอนาคต …

คุณสามารถโยงมันเข้าหากันได้โดยมองย้อนอดีต

ดังนั้น คุณต้องเชื่อมั่นว่า จุดต่างๆ จะเชื่อมต่อกันในอนาคต ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง

คุณจะต้องเชื่อมั่นในบางสิ่ง … กึ๋นของคุณ, หรหมลิขิต, ชีวิต, กรรม … หรืออะไรก็ตาม

วิธีคิดและวิธีการแบบนี้ ไม่เคยทำให้ผมสิ้นหวัง และมันสร้างความแตกต่างทั้งหมดในชีวิตผม

ความรักและการสูญเสีย

เรื่องที่สองเกี่ยวกับ “ความรักและการสูญเสีย” (Love & Loss)

ผมโชคดี – ผมค้นพบสิ่งที่ผมรักที่จะทำมันได้เร็ว

Woz (Stephen Wozniak – พ่อมดน้อยด้านวิศวกรรม ผู้ร่วมก่อตั้ง บ. Apple) และผมเริ่มต้นบริษัท Apple ในโรงรถของพ่อแม่เมื่อผมอายุ 20 ปี เราทำงานหนัก และในเวลา 10 ปี Apple ได้เติบโตจากโรงรถที่มีแค่เราสองคน ไปสู่บริษัทมูลค่ากว่า 2,000 ล้านเหรียญ มีพนักงานมากกว่า 4,000 คน เราได้ออก ประดิษฐกรรมที่ดีที่สุดของเรา – the Macintosh – หนึ่งปีก่อนหน้าที่ผมจะมีอายุครบ 30

แล้วผมก็ถูกไล่ออก

คุณจะถูกไล่ออกจากบริษัทที่คุณเริ่มสร้างมันมากับมือได้อย่างไร ?!?

เมื่อ Apple เติบโตขึ้น เราได้จ้างบุคคลผู้หนึ่งซึ่งผมคิดว่ามีความสามารถโดดเด่นมาก มาขับเคลื่อนบริษัทไปพร้อมๆ กับผม ในปีแรกๆ ทุกอย่างเป็นไปอย่างดี แต่หลังจากนั้น เมื่ออนาคตที่เราสองคนมองเห็น เริ่มแยกแตกต่างกันจนในที่สุดก็บาดหมางกัน เมื่อเราต้องแยกจากกัน คณะกรรมการบริษัทของเราอยู่ข้างเขา

ดังนั้นในวัย 30 ปี ผมถูกไล่ออก

และเป็นการออกมาที่สาธารณชนรับรู้อย่างกว้างขวางเหลือเกิน

สิ่งเดียวที่ผมทุ่มเททำมาตลอดชีวิตวัยหนุ่มได้จากไปแล้ว มันกำลังถูกกร่อนทำลาย

ผมช็อก ตกอยู่ในสภาพที่ไม่รู้จะทำอะไรตลอดสองสามเดือนหลังจากนั้น

ผมรู้สึกว่าได้ทำลายความหวังของผู้ประกอบการรุ่นก่อนไปจนหมดสิ้น

… ผมได้ทำไม้บาตอง (ไม้เรียวเล็กยาว ที่วาทยกรใช้ควบคุมการบรรเลงของวงออเคสตร้า) หล่น ขณะที่มันกำลังถูกส่งผ่านมาที่ผม ผมพบกับ David Packard (หนึ่งในสองผู้ก่อตั้ง บ. Hewlett-Packard หรือ HP) และ Bob Noyce (หนึ่งในผู้ก่อตั้ง บ. Intel ผู้ผลิตชิพไมโครโปรเซสเซอร์อันดับหนึ่งของโลก) และพยายามขอโทษขอโพย สำหรับการบริหารอย่างยอดแย่

คนทั้งบางรับรู้ถึงความล้มเหลวและผมเคยคิดจะวิ่งหนีออกจากวัลเล่ย์ไปเลย (Silicon valley –พื้นที่ราบกลางหุบเขาในรัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นแหล่งรวมบริษัทไอทีชั้นนำของสหรัฐอเมริกา)

ทว่าบางสิ่งเริ่มปรากฏขึ้นในใจผมอย่างช้าๆ …

ผมยังรักสิ่งที่ผมเคยทำ

เหตุการณ์พลิกผันที่เกิดขึ้นกับบริษัท Apple ไม่ได้เปลี่ยนใจผมไปแม้เพียงน้อย

ผมถูกเด้ง แต่ผมยังตกหลุมรักอยู่

ดังนั้น ผมตัดสินใจเริ่มใหม่อีกครั้ง

ในตอนนั้นผมยังมองไม่เห็น แต่ปรากฏว่าการถูกไล่ออกจาก Apple เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับผม

ความหนักอึ้งของความสำเร็จที่แบกไว้ ถูกแทนที่ด้วยความโล่งเบาของการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ผมมีความมั่นใจเกี่ยวกับทุกสิ่งน้อยลง มันปลดพันธนาการผมให้เข้าสู่ช่วงเวลาที่สร้างสรรค์ที่สุดช่วงหนึ่งแห่งชีวิต

ในช่วงห้าปีถัดมา ผมเริ่มสร้างบริษัทที่มีชื่อว่า Next

อีกแห่งหนึ่งคือ Pixar และได้ตกหลุมรักกับผู้หญิงที่น่าทึ่งมาก ซึ่งต่อมาได้กลายมาเป็น “ภรรยาของผม”

Pixar ได้สร้าง Toy Story ภาพยนตร์แอนิเมชั่นคอมพิวเตอร์เรื่องแรกของโลก และวันนี้เป็นสตูดิโอแอนิเมชั่นที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในโลก

ในช่วงพลิกผันของเหตุการณ์ Apple ซื้อกิจการ Next ผมกลับสู่ Apple อีกครั้งและเทคโนโลยีที่เราพัฒนาที่ Next ได้เป็นหัวใจของการฟื้นขึ้นอีกครั้งของ Apple

… ส่วน Laurene และ ผมได้มีครอบครัวที่แสนวิเศษด้วยกัน

ผมมั่นใจมากว่า สิ่งเหล่านี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นเลย หากผมไม่ถูกไล่ออกจาก Apple

มันเป็นยาขมรสเฝื่อน แต่ผมเดาว่าคนไข้ต้องการมัน

บางครั้ง ชีวิตเหมือนถูกฟาดด้วยอิฐอย่างแรง จนเราหัวคะมำ

อย่าสูญเสียความเชื่อมั่น !

ผมเชื่อว่าสิ่งเดียวที่ปกป้องให้ผมเดินหน้าต่อไป คือผมรักในสิ่งที่ผมทำ

คุณต้องหาสิ่งที่คุณรักให้เจอ …

มันเป็นจริงกับเรื่องงาน เหมือนกับเรื่องคนรักของคุณ

งานนั้นกินเวลาส่วนใหญ่ของชีวิต และวิธีเดียวที่จะทำให้เราพึงพอใจอย่างแท้จริง คือทำในสิ่งที่คุณเชื่อมั่นว่ามันเป็นงานที่ยอดเยี่ยมจริงๆ

และวิธีเดียวที่จะทำงานที่ยอดเยี่ยมได้ คือรักในสิ่งที่คุณทำ

ถ้าวันนี้ยังหาไม่เจอ … มองหาต่อไป

อย่าท้อถอย

ด้วยทุกอณูของหัวใจ คุณจะรู้ เมื่อคุณเจอมัน

และไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร มันจะมีแต่ดีขึ้นและดีขึ้น

ดังนั้น มองหาต่อไปกระทั่งคุณเจอมัน … อย่าเพิ่งท้อถอย

ความตาย

เรื่องที่สามเกี่ยวกับ “ความตาย”

เมื่อผมอายุ 17 ปี ผมได้อ่านคำคมที่เขียนว่า…

“ถ้าคุณใช้ชีวิตแต่ละวันเสมือนวันสุดท้าย สักวันหนึ่งคุณจะต้องถูกต้อง”

มันประทับใจผมมาก

ตั้งแต่นั้นมา ตลอด 33 ปี ผมส่องกระจกทุกเช้าและถามตัวเองว่า

ถ้าวันนี้เป็นสุดท้ายของชีวิต ผมยังอยากจะทำสิ่งที่ผมทำอยู่วันนี้หรือเปล่า?”

หากคำตอบคือ “ไม่” ติดต่อกันหลายวัน

ผมรู้ว่าผมจำเป็นต้องเปลี่ยนอะไรบางอย่าง

การจดจำว่าผมจะตายเร็วๆ นี้เป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุด ที่ผมพบเจอเพื่อช่วยผมตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิต

เพราะเกือบทุกสิ่ง – ความคาดหวังจากภายนอก, ความภาคภูมิ, ความกลัวอายหรือกลัวล้มเหลว – สิ่งเหล่านี้จะหายไปหมดสิ้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความตาย เหลือไว้แต่สิ่งสำคัญจริงๆ

การจดจำว่ากำลังจะตาย เป็นวิธีที่ดีที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงกับดักของการคิดว่าคุณจะเสียอะไรไป

คุณเปลือยเปล่า

ไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่ทำตามหัวใจ

ราวๆ หนึ่งปีที่แล้ว ผมตรวจพบว่าตัวเองเป็นมะเร็ง

ผมสแกนตอน 7 โมงครึ่งในตอนเช้า ผลแสดงชัดเจนว่ามีเนื้องอก (Tumor) ในตับอ่อน (Pancreas) ของผม ผมยังไม่รู้เลยว่าตับอ่อนคืออะไร หมอบอกผมว่ามันแทบจะเหมือนเปี๊ยบกับมะเร็งประเภทหนึ่งที่รักษาไม่ได้ และผมควรคาดว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกิน 3-6 เดือน

หมอแนะนำให้ผมกลับบ้าน จัดการกับเรื่องราวต่างๆให้เรียบร้อย … ซึ่งเป็นภาษาของหมอที่บอกให้เตรียมตัวตาย

มันหมายถึงการพยายามที่จะพูดกล่าวเรื่องราวที่จะพูดกับลูกๆ ในอีก 10 ปีข้างหน้า ให้จบภายในเวลาสองสามเดือน

มันหมายถึงการทำให้มั่นใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อย ง่ายที่สุดต่อการจัดการของครอบครัว

มันหมายถึงการกล่าวคำอำลา…

ผมง่วนอยู่กับการถูกตรวจทั้งวันหลังจากนั้นตอนกลางคืน ผมทำ Biopsy โดยหย่อนกล้องลงไปในลำคอผ่านกระเพาะ เข้าไปในลำไส้ แล้วสอดเข็มเข้าไปในตับอ่อนของผม เพื่อเอาเซลล์บางส่วนของเนื้องอกออกมา

ผมสงบนิ่ง แต่ภรรยาของผมที่อยู่ข้างๆ ตรงนั้นบอกผมว่าเมื่อแพทย์ส่องกล้องดูเซลล์ พวกเขาก็ร้อง เพราะพบว่ามันเป็นรูปแบบของมะเร็งตับอ่อนที่พบได้ยากมาก ซึ่งสามารถรักษาให้หายได้ด้วยการผ่าตัด

ผมได้รับการผ่าตัดและอาการก็ดีแล้วในตอนนี้

นี่เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ผมเผชิญความตายอย่างใกล้ชิดที่สุด และผมหวังว่าจะไม่มีครั้งใดที่จะใกล้กว่านี้อีกในช่วงสองสามทศวรรษข้างหน้า

การได้มีชีวิตผ่านมันมา ตอนนี้ผมสามารถพูดกับคุณๆ ได้อย่างมั่นใจขึ้นอีกว่า

ความตายเป็นความคิดที่มีประโยชน์มาก

ไม่มีใครต้องการตาย

แม้แต่คนซึ่งต้องการไปสวรรค์ก็ไม่ต้องการตายเพื่อจะไปที่นั่น

ทว่าความตายเป็นจุดหมายปลายทางร่วมกันของพวกเรา

ไม่มีใครเคยหนีมันพ้น

และนั่นเป็นสิ่งที่ควรจะเป็น เพราะความตายน่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์แห่งชีวิตสิ่งเดียวที่ดีที่สุด

มันเป็นตัวเปลี่ยนแปลงชีวิต

ผลัดสิ่งเก่า สร้างสิ่งใหม่

วันนี้คุณคือสิ่งใหม่ แต่วันหนึ่ง ไม่ไกลจากตอนนี้นัก คุณจะค่อยๆ กลายเป็นสิ่งเก่า และถูกผลัดขจัด

ขอโทษที่ต้องพูดอะไรที่สะเทือนใจ (So Dramatic) แต่มันเป็นความจริง

เวลาของคุณนั้นมีจำกัด ฉะนั้นอย่าเสียเวลาโดยใช้มันไปกับชีวิตคนอื่น

อย่าติดกับโดยความคิดความเชื่อที่ดันทุรัง ความคิดของคนอื่น

อย่าปล่อยให้เสียงของความเห็นคนอื่นดังกลบเสียงภายในใจของคุณ

และสำคัญที่สุด กล้าที่จะทำตามหัวใจ และลางสังหรณ์ของคุณ

มันรู้ว่าอะไรที่คุณต้องการเป็นจริงๆ ( ในทางหนึ่ง)

สิ่งอื่นทุกอย่างเป็นเรื่องรอง …

สมัยผมยังเป็นหนุ่ม มีหนังสือเล่มหนึ่งน่าทึ่งมาก ชื่อว่า The Whole Earth Catalog ซึ่งเป็นหนึ่งในคัมภีร์ของคนรุ่นผม มันถูกสร้างขึ้นโดยนาย Stewart Brand อยู่ใน Menlo Park ไม่ไกลจากที่นี่ เขาทำให้หนังสือเล่มนี้มีชีวิตชีวาขึ้นมาด้วย “สัมผัสที่งดงามอย่างบทกวี”

แต่นั่นเป็นช่วงปลายทศวรรษ 1960 (ก่อนมีการประดิษฐ์คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล, การพิมพ์บนคอมพิวเตอร์) ดังนั้นอุปกรณ์จึงขึ้นกับพิมพ์ดีด, กรรไกร และกล้องถ่ายรูปแบบโพลารอยด์

มันเหมือน Google ในรูปแบบกระดาษ เป็นเวลา 35 ปีก่อนที่ Google จริงๆ เกิดขึ้น

มันคืออุดมคติ เต็มไปด้วยเครื่องมือเจ๋งๆ และ สารพัดประโยคที่ยอดเยี่ยม

Stewart และทีมของเขาผลิต The Whole Earth Catalog ออกมาหลายฉบับ แต่ในที่สุดก็ถึงจุดสิ้นสุด พวกเขาก็เข็นฉบับสุดท้ายออกมา

ตอนนั้นเป็นช่วงกลางทศวรรษ 1970 ผมก็อายุเท่าๆ พวกคุณนี่ล่ะ

ที่ปกหลังของฉบับสุดท้ายเป็นภาพถ่ายของวิวถนนในชนบท ยามรุ่งอรุณ

ใต้ภาพมีถ้อยคำเขียนไว้ว่า…

จงหิวโหย (Stay Hungry) จงโง่เขลา (Stay Foolish)

มันเป็นข้อความอำลาจากทีมงาน

… จงหิวโหย

… จงโง่เขลา

ผมอธิษฐานอยู่เสมอให้ตนเองเป็นเช่นนั้นและบัดนี้ ในห้วงยามที่คุณสำเร็จการศึกษา เพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ผมขออธิษฐานสิ่งนั้นให้คุณเช่นกัน

จงหิวโหย… จงโง่เขลา

ขอบคุณทุกคนมากครับ

ธันยวัยชร์ ไชยตระกูลชัย


>>>>> http://www.mktmag.com/?p=1348#more-1348

พงษ์พันธ์ สุทธิวัฒนเวช 51040858

3 ความคิดเห็น:

  1. ขอให้เพื่อนๆ ยิ้มกว้างๆ เมื่ออ่านบทความนี้จบนะครับ

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณสำหรับบทความดีๆนะคะ หาอ่านยากมาก

    ได้แง่คิดดีๆในการมองชีวิตเลย

    มีพี่ที่ำทำงานเคยบอกไว้ ว่า

    เรียนจบแล้วอย่าคิดว่าจะทำงานบริษัทใหญ่ๆโตๆเพื่อที่จะให้ชีวิตมั่นคงเพราะถ้าวันไหนเศรษฐกิจตกต่ำต้องไล่คนออก คนนั้นอาจเป็นเรา แต่บริษัทเค้ายังอยู่รอด

    แต่ให้คิดว่า จะทำธุรกิจอะไรดีให้ชีวิตเรามั่นคงไป เพราะถ้าเศรษฐกิจไม่ดี เราเจ้าของธุรกิจก็จะต้องอยู่รอดต่อไปให้ได้

    เพื่อนลองคิดดูนะคะ ว่าจบแล้ว จะดำเนินชีวิตไปแบบไหนนนดี

    ตอบลบ
  3. เห็นด้วยก่า กิ๊ก คนเราทำงานดีแค่ไหนบริษัทอาจจะใหญ่มาก แต่ถ้าวันนึงเศรษฐกิจไม่ดี อาจเป็นเราที่ต้องโดนไล่ออก โน๊ตว่าเป็นเจ้าของธุรกิจของเราเองงนั้นแหละดีที่สุด เป็นเจ้านายตะเองดี

    note 881 :D

    ตอบลบ

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น